หลังจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาพรรคเดโมแครต ได้เกิน 270 เสียง ซึ่งคาดว่ามีความเป็นไปได้ที่ “โจ ไบเดน” จะเป็นผู้ชนะการเลือกตั้ง แผนพัฒนาเศรษฐกิจที่จะเปลี่ยนแปลงอเมริกาด้วยหลักการ “Save middle-class, Save America” พี่ทุยชวนมาดูหลักการนี้ผ่านนโยบายการคลังของ “โจ ไบเดน” หัวหน้าพรรคเดโมแครตที่เกี่ยวข้องกับรูปแบบการเก็บภาษีกันดีกว่า
พนักงานออฟฟิศในอเมริกาต้องจ่ายภาษีอะไรบ้าง ?
รายรับภาษีถือเป็นรายได้หลักของประเทศ ในหลักการแล้วการเก็บภาษีก็เพื่อนำมาใช้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สนุนธุรกิจ และจัดสรรสวัสดิการให้ประชาชน
พี่ทุยขอยกตัวอย่างรูปแบบการเก็บภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา เช่น พนักงานออฟฟิศในประเทศสหรัฐอเมริกาจะต้องจ่ายภาษี 4 ก้อนคือ
- Federal Tax Income – ภาษีเงินได้ระดับรัฐบาลกลาง ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองอเมริกาหรือไม่ใช่พลเมืองอเมริกาก็ต้องจ่ายภาษีก้อนนี้เท่ากัน เก็บภาษีแบบอัตราก้าวหน้า ใครมีรายได้มากจ่ายมาก ใครมีรายได้น้อยจ่ายน้อย โดยที่เก็บสูงสุดไม่เกิน 37% ของรายได้หักลดหย่อนค่าใช้จ่ายส่วนตัวได้ไม่เกิน 12,000$ อ้างอิงในปี 2020
- State Tax Income – ภาษีเงินได้ระดับรัฐ วิธีการเก็บมีทั้งแบบแบบอัตราคงที่และอัตราก้าวหน้าขึ้นอยู่กับรัฐ และในแต่ละรัฐจะเรียก % เก็บไม่เท่ากัน แต่ในบางรัฐก็ไม่เก็บภาษีก้อนนี้
- Employment tax – ภาษีหักจากการทำงาน คล้ายกับหักค่าประกันสังคมของประเทศไทยโดยเงินที่หักไปจะนำไปจัดสรรสวัสดิการเช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินประกันการว่างงาน เป็นต้น
- Local Income Tax – ภาษีเงินได้หักให้ท้องถิ่น (เฉพาะในบางรัฐ) ตามนโยบายของท้องถิ่น
ภาษีจะถูกแบ่งออกเป็น 4 ก้อนตามด้านบนซึ่งคิดเฉพาะภาษีเงินได้เท่านั้นยังไม่รวมภาษีรูปแบบอื่นเช่น ภาษีอสังหาริมทรัพย์ ภาษีมูลค่าเพิ่ม
หากพี่ทุยอยู่ไปทำงานที่ รัฐนิวยอร์ก เมืองบอสตัน ประเทศสหัฐอเมริกา ได้รับเงินค่าจ้าง 100,000$ ต่อปี สถานะโสด ในปี 2019 ที่ผ่านมาคิดค่าใช้จ่ายภาษีได้แบบนี้
Source: https://smartasset.com/taxes/income-taxes#NyCtaZPkHs
พี่ทุยจะต้องจ่ายภาษีทั้งหมด 28,355$ หรือคิดเป็นช่วงที่จ่ายภาษี 28.35% ถือว่าเป็นชนชั้นกลางของอเมริกาเลย
มาดูนโยบายการคลังผ่านเครื่องมือภาษีของ “โจ ไบเดน” ที่ต้องการเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาลสหรัฐอเมริกามากกว่า 3.4 ล้านล้านดอล่าร์สหรัฐภายในช่วงเวลา 4 ปีต่อจากนี้เพื่อช่วยเหลือชนชั้นกลางและล่างผ่านการสนับสนุนการจ้างงาน ให้รายได้แรงงานสูงขึ้น วิธีคิดของไบเดนต้องลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และธุรกิจเกิดใหม่ ดังนั้นรัฐจะต้องมีรายได้เพิ่มขึ้นต้องมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการเก็บภาษีดังนี้
- เก็บภาษีคนรวยเพิ่มขึ้นด้วยการขึ้นอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ เก็บภาษีแบบอัตราก้าวหน้าสูงสุดจาก 37% เป็น 39.6%
- ขึ้นภาษีนิติบุคคลจาก 21% เป็นอัตรา 28% และกำหนดอัตราภาษีขั้นต่ำสำหรับบริษัทที่มีรายได้ทางบัญชีมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์โดยต้องจ่ายภาษีไม่ต่ำกว่า 15% ของรายได้ ทำให้บริษัทขนาดใหญ่ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ ในการต้องจ่ายภาษีมากขึ้น
- กำไรจากการขายหุ้นและเงินปันผลต้องจ่ายภาษี โดยปกติจะมีการหักภาษีจาก Capital Gain อยู่แล้วสูงสุดที่ 23.8% แต่ปรับขึ้นเป็น 39.6% แต่ถ้าขาดทุนก็ไม่ต้องจ่ายภาษีนะจ๊ะ อีกทั้งยังนำไปหักภาษีเงินได้ระดับรัฐบาลกลางได้
- ปรับกฎหมายที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากจ่ายภาษี Capital Gain ได้
- จำกัดรูปแบบการลดหย่อนภาษี เพื่อที่ลดโอกาสของคนรวยในการทำให้เงินได้ดูลดลง
- ยกเลิกสิทธิภาษี oil & gas แต่ให้เรียกเก็บเป็นค่าใช้จ่ายต่อกิจกรรมที่มีการวิจัยและพัฒนาที่ใช้แทนเพื่อสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาแทน
- ใช้กฎหมายเพื่อช่วยติดตามการเลี่ยงจ่ายภาษีหรือ Tax Heaven ในกลุ่มคนรวยและบริษัทขนาดใหญ่ โดยเฉพาะกลุ่มบริษัทเทคโนโลยี พี่ทุยมองว่าเป็นเรื่องที่น่าจับตามองกันเลยทีเดียว เพราะปัญหาการโยกย้ายเงินข้ามประเทศเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีเป็นปัญหาระดับโลก ซึ่งปริมาณเงินที่ควรเก็บภาษีได้ในตอนนี้ไม่สามารถระบุเป็นตัวเลขที่แน่ชัด แต่แน่ใจว่าเป็นจำนวนเงินมหาศาลแน่นอน
ใครได้ ใครเสียจากนโยบายนี้ ?
วิธีการเก็บภาษีคนรวยเพื่อช่วยเหลือคนชนชั้นกลางและล่าง โดยนำเงินภาษีสนับสนุนอุตสาหกรรมเทคโนโลยี พลังงานสะอาด และธุรกิจเกิดใหม่ ให้เกิดการจ้างงานที่มีรายได้สูงและเน้นสำหรับการวิจัยและพัฒนาเพื่อส่งเสริมกำลังผลิตในกับอุตสาหกรรมเพื่อความได้เปรียบสมกับนโยบาย Buy America
ดังนั้นแล้วผู้ที่ได้ประโยชน์คือภาคแรงงาน ซึ่งก็คือประชาชนชนชั้นกลางและล่างของประเทศ ผู้เสียประโยชน์คือคนรวยและภาคธุรกิจขนาดใหญ่ โดยเฉพาะธุรกิจเทคโนโลยีที่ต้องจ่ายภาษีมากขึ้น
พี่ทุยว่านโยบายที่มีการวางพื้นฐานเพื่อช่วยเหลือชนชั้นกลางที่เป็นฐานเสียงหลักของประเทศย่อมถูกใจแรงงานและธุรกิจขนาดกลาง-เล็ก แต่ก็ต้องไกล่เกลี่ยผลประโยชน์ให้กับประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง เพื่อช่วยให้ธุรกิจมีแรงจูงในที่จะลงทุนเพิ่มขึ้นด้วย
Comment