อัปเดตความคืบหน้าของการบริหารจัดการ การระบาดของโควิด-19 หลังจากช่วงต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา เกิดการระบาดระลอก 3 ซึ่งทำให้มีการติดเชื้อใหม่วันละกว่า 2,000 คน (และบางวันก็มีจำนวนมากกว่านั้น) และยอดคนตายที่ทยอยเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 ระลอกแรกอย่างเห็นได้ชัด ทำให้รัฐบาลต้องอนุมัติ “เงินกู้” เพิ่มขึ้นอีก 500,000 ล้านบาท
“เงินกู้” ใหม่ของรัฐบาลจำนวนมากถึง 500,000 ล้านบาท
จากการที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติร่างพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดระลอกใหม่ เพิ่มเติมอีก 500,000 ล้านบาท หลังจากเคยออก พ.ร.ก. เดียวกันในวงเงิน 1 ล้านล้านบาทไปเมื่อช่วงเมษายนของปีที่แล้ว
ในรายละเอียดจะแบ่งเงินกู้ครั้งนี้ออกเป็น 3 ด้าน ได้แก่
1. แก้ไขปัญหาการระบาดระลอกใหม่ วงเงิน 30,000 ล้านบาท
โดยเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ ยารักษาโรค วัคซีน และการวิจัยพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ รวมทั้งการปรับปรุงสถานพยาบาลสาหรับ การบาบัดรักษาผู้ติดเชื้อโควิด-19
2. ช่วยเหลือ เยียวยา หรือชดเชยให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการ วงเงิน 300,000 ล้านบาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน และช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดย่อมให้สามารถดาเนินธุรกิจต่อเนื่องได้
3. ฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคมที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดระลอกใหม่ วงเงิน 170,000 ล้านบาท
เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับแผนงาน/โครงการเพื่อรักษาระดับการจ้างงานของผู้ประกอบการ และกระตุ้นการลงทุน-การบริโภค ในระบบเศรษฐกิจของประเทศ
ขณะเดียวกัน การกู้เงินดังกล่าวจะส่งผลให้สถานะหนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้น จากปัจจุบัน ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2564 ที่มีจำนวน 8,472,186.98 ล้านบาท (คิดเป็น 54.28% ของ GDP) เป็น 9,381,428 ล้านบาท (หรือคิดเป็น 58.56% ของ GDP) เมื่อรวมกับเงินกู้ใหม่ 500,000 ล้านบาท และประมาณการการกู้เงินอื่น ๆ ของปีนี้แล้ว แต่ก็ยังต่ำกว่ากรอบวินัยการคลังที่ 60% ของ GDP อยู่
ความคืบหน้า “เงินกู้” 1 ล้านล้านบาท
สำหรับความคืบหน้าของการอนุมัติโครงการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการระบาดจากกรอบวงเงินกู้เดิมทั้งหมด 1 ล้านล้านบาท เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 ครม. ได้อนุมัติไปแล้ว 833,475 ล้านบาท จำนวน 297 โครงการ ทำให้มีวงเงินคงเหลืออยู่ 166,525 ล้านบาท และหากรวมกับโครงการล่าสุดที่อนุมัติไปช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาอีกประมาณ 150,000 ล้านบาท จะทำให้วงเงินกู้เดิมเหลืออยู่เพียง 16,525 ล้านบาทเท่านั้น
สำหรับโครงการและจำนวนผู้ได้รับความช่วยเหลือที่ผ่านมาที่ได้ใช้วงเงิน 1 ล้านล้านบาท ไปแล้ว ได้แก่
- โครงการเยียวยาเกษตรกร กลุ่มเปราะบาง และผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ จำนวน 42.47 ล้านคน
- โครงการเราชนะ จำนวน 32.90 ล้านคน
- โครงการเราไม่ทิ้งกัน จำนวน 15.26 ล้านคน
- โครงการเรารักกัน จำนวน 8.1 ล้านคน
- โครงการคนละครึ่ง จำนวน 14.79 ล้านคน
- โครงการเราเที่ยวด้วยกัน จำนวน 5.77 ล้านคน
ปัญหาที่สำคัญที่สุด คือ “เงินกู้” ไปไม่ถึงประชาชน
ปัญหาอีกอย่างที่พี่ทุยเห็น คือ แม้ว่าจะมีการอนุมัติการใช้จ่ายเงินกู้ไปจนแทบจะเต็มวงเงินแล้ว แต่ในการเบิกจ่ายจริงจะเห็นว่า 2 จาก 3 แผนงานยังเบิกจ่ายน้อยกว่าที่ควรจะเป็นค่อนข้างมาก ยกเว้นแผนงานที่เกี่ยวกับการเยียวยาประชาชน โดยมีรายละเอียดจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2564 ดังนี้
- แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ทางการแพทย์และสาธารณสุข วงเงิน 45,000 ล้านบาท
อนุมัติไปแล้ว 42 โครงการ 25,825.8 ล้านบาท แต่เบิกจ่ายได้เพียง 7,102.6 หรือคิดเป็น 27.5% - แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์ช่วยเหลือเยียวยาและชดเชยให้แก่ประชาชน วงเงิน 600,000 ล้านบาท
อนุมัติไปแล้ว 9 โครงการ 598,895.2 ล้านบาท เบิกจ่ายไปแล้ว 573,349.8 หรือคิดเป็น 95.7% - แผนงานหรือโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม วงเงิน 355,000 ล้านบาท
อนุมัติไปแล้ว 232 โครงการ 138,181.4 ล้านบาท แต่เบิกจ่ายได้เพียง 69,117.4 หรือคิดเป็น 50%
รวมแล้วทั้ง 3 แผนงานวงเงิน 1 ล้านล้านบาท อนุมัติแล้ว 283 โครงการ 762,902.4 ล้านบาท เบิกจ่ายได้ 649,570 ล้านบาท คิดเป็น 85.1% ของกรอบวงเงินที่อนุมัติ โดยสภาพัฒน์ให้เหตุผลว่าที่ล่าช้าเพราะอยู่ระหว่างการจัดซื้อตามขั้นตอนอยู่ รวมไปถึงความจำเป็นที่ต้องชะลอกิจกรรมที่ต้องลงพื้นที่และฝึกอบรม เนื่องจากการระบาดระลอกใหม่ในช่วงต้นปี 2564 จนถึงปัจจุบัน ขณะเดียวกันมีบางโครงการยังไม่ถึงงวดจ่ายเงินตามปกติ
การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้เป็นประโยชน์ต่อหุ้นกลุ่มไหนบ้าง ?
แม้ว่าเงินกู้ดังกล่าวยังไม่มีรายละเอียดเพิ่มเติมมากนัก แต่ถ้าดูจากการใช้จ่ายเงินกู้ของเดิมส่วนใหญ่ที่เป็นการแจกเงินเยียวยาให้แก่ประชาชนและร้านค้าต่าง ๆ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับบริษัทในตลาดหุ้นโดยตรง แต่ในทางอ้อมร้านค้าเหล่านี้จะต้องซื้อวัตถุดิบต่าง ๆ จากบริษัทกลุ่มค้าปลีกค้าส่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO, บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC
ขณะเดียวกัน จากมาตรการใหม่อันล่าสุด คือ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ที่กระตุ้นให้ประชาชนกลุ่มรายได้สูงออกมาจับจ่าย แน่นอนว่าในช่วงเวลาของการกักตัวอยู่บ้านและ Work from home ปฏิเสธไม่ได้ว่าบริษัทกลุ่มสินค้าไอที กลุ่มเฟอร์นิเจอร์ของใช้ภายในบ้านหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าน่าจะได้รับผลดีนี้ไป ไม่ว่าจะเป็นบริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO, บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ (COM7), บริษัท เอส พี วี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SPVI เป็นต้น