การเรียกร้องมาตรการเยียวยาประชาชนผู้เดือดร้อนจากโควิด-19 เริ่มเห็นผลขึ้นบ้าง โดยล่าสุดภาครัฐมีการออกมาตรการการ “แจกเงินฟรีแลนซ์” ซึ่งเป็นอีกคนกลุ่มนึงที่โดยปกติแล้วจะมีรายได้ที่ไม่คงที่ และได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา
อย่างที่ทุกคนรู้กันว่า หลังจากที่ประเทศไทยเรามีการประกาศปิดเมือง (Lockdown) เพื่อระงับการระบาดของโควิด-19 ซึ่งถือว่าเป็นการปิดเมืองเป็นรอบที่ 4 หลังจากที่การระบาดของโควิด-19 เมื่อเดือนมีนาคม 2563 ทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง ร้านค้า ร้านอาหารต่าง ๆ ถูกสั่งปิด ทำให้แรงงานขาดรายได้ รวมถึงมีคนตกงานเพิ่มเติม จึงมีการเรียกร้องการเยียวยาจากทางภาครัฐมาอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดในวันนี้ (13 ก.ค. 64) ได้มีประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไฟเขียวให้ความช่วยเหลือแรงงาน ผู้ประกอบการอาชีพอิสระ (ฟรีแลนซ์) และผู้ประกอบการที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุด 10 จังหวัดประกอบด้วย
- กรุงเทพมหานคร
- นครปฐม
- นนทบุรี
- ปทุมธานี
- สมุทรปราการ
- สมุทรสาคร
- นราธิวาส
- ปัตตานี
- ยะลา
- สงขลา
และต้องประกอบอาชีพในประเภทกิจการที่ได้รับผลกระทบโดยตรงทั้ง 9 หมวดกิจการ
- ก่อสร้าง
- ที่พักแรมและบริการด้านอาหาร
- ศิลปะ บันเทิงและนันทนาการ
- กิจกรรมการบริการด้านอื่น ๆ
- ขายส่งขายปลีกและซ่อมยานยนต์
- ขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า
- กิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน
- กิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ
- ข้อมูลข่าวสารและการศึกษา
ส่วนการเยียวยาผู้ประกอบการได้มีการเพิ่มกิจการของ “ถุงเงิน” โดยเพิ่มเติมจากเฉพาะร้านอาหารและเครื่องดื่มโดยให้รวมร้าน OTOP ร้านค้าทั่วไป ร้านค้าบริการ กิจการขนส่งสาธารณะ (ไม่รวมกิจการขนาดใหญ่) ในเบื้องต้นมีการออกมาตรฐานช่วยเหลือเป็นเวลา 1 เดือนและอาจจะเพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสมตามสถานการณ์
ผู้ประกันตนมาตรา 33 ได้รับเงินเยียวยาเพิ่ม 2,500 บาทต่อคน
กลุ่มแรงงานที่อยู่ในระบบและแรงงานนอกระบบสัญชาติไทย โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 จะได้รับเงินเยียวยาเพิ่มเติม 2,500 บาท ซึ่งเป็นการช่วยเหลือเพิ่มเติมนอกเหนือจากสวัสดิการการว่างงานเดิม
ผู้ประกันตนมาตรา 39 และ 40 รวมถึงฟรีแล๊นซ์ ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาทต่อคน
สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 39 และ 40 จะได้รับ 5,000 บาท รวมไปถึงผู้ประกอบการอาชีพอิสระที่ไม่ได้อยู่ในมาตรา 39 และ 40 หรือฟรีแลนซ์ ที่ยังประกอบอาชีพอยู่ ณ ปัจจุบัน ให้เตรียมหลักฐานเพื่อลงทะเบียนผู้ประกันตนมาตรา 40 กับสำนักงานประกันสังคมภายในเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่อให้ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท
ผู้ประกอบการได้รับเยียวยา 3,000 บาทต่อลูกจ้าง 1 คน สูงสุดไม่เกิน 200 คน
สำหรับใครที่เป็นผู้ประกอบการก็ยังได้รับการเยียวยาในรอบนี้ด้วย โดยจะได้รับเงินเยียวยา 3,000 บาทต่อ ลูกจ้าง 1 คน สูงสุดไม่เกิน 200 คน
นอกจากนี้ยังมีมาตรการลดค่าน้ำค่าไฟด้วยวงเงิน 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็น “ลดค่าไฟฟ้า” เป็นระยะเวลา 2 เดือนตั้งแต่กรกฎาคม-สิงหาคม 2564 และ “ลดค่าน้ำ” ระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่สิงหาคม-กันยายน 2564 สำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ควบคุม 10 จังหวัด
การเยียวยาครั้งนี้ ถือว่าเป็นนโยบายการแจกเงินเพื่อเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้นอีกครั้ง หลังจากที่มีการใช้นโยบายลักษณะก่อนหน้านี้มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่านโยบายแจกเงินเช่นนี้อาจจะไม่ได้ทางเลือกที่ดีมากนักในระยะยาว แต่อย่างน้อยก็สามารถช่วยให้ทุกคนสามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตครั้งนี้ได้
และถ้าหากมีการระบาดลากยาวต่อไปอีกเรื่อย ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะต้องมีการใช้นโยบายการแจกเงินในอนาคตเพิ่มเติมอีกแน่นอน