ความเร็วที่เพิ่มขึ้น 20 เท่า, ความหน่วงที่ลดลงเหลือ 1 ส่วนพันวินาที และรองรับจำนวนผู้ใช้งานเพิ่มขึ้น 10 เท่า สิ่งเหล่านี้คือจุดเด่นของ “เทคโนโลยี 5G” ที่กำลังจะเข้ามาแทนที่ 4G ในอนาคตอันใกล้นี้ เราคงปฏิเสธไม่ได้แล้วว่า ธุรกิจในยุคปัจจุบันถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีเป็นสำคัญ บริษัทขนาดยักษ์ของโลกส่วนใหญ่ ล้วนแล้วแต่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง
และด้วย “เทคโนโลยี 5G” ที่กำลังจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา จะช่วยให้ธุรกิจพื้นฐานต่าง ๆ สามารถยกระดับสินค้าและการบริการของตัวเองขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง
จากการศึกษาแนวโน้มของ “เทคโนโลยี 5G” โดย Qualcomm คาดการณ์ว่า ในปี 2035 ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ 5G ทั้งหมด จะสามารถสร้างรายได้รวมกัน 3.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 105 ล้านล้านบาท และจะช่วยสร้างงานราว 22 ล้านตำแหน่ง รวมถึงจะช่วยสร้าง GDP โลกสะสมรวมกัน 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในระหว่างปี 2020 – 2035 ในขณะเดียวกัน บริษัทวิจัยต่าง ๆ ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจที่จะได้รับประโยชน์อย่างมาก จากการเข้ามาของ 5G ซึ่งสามารถสรุปได้เป็น 5 กลุ่มหลัก
5 ธุรกิจที่จะได้รับผลประโยชน์จากการมาของ “เทคโนโลยี 5G”
1. กลุ่มการแพทย์
ซึ่งเริ่มเห็นแนวทางในการพัฒนามาตั้งแต่ก่อนหน้านี้ แต่การเข้ามาของ 5G จะช่วยยกระดับการให้บริการทางการแพทย์ที่ดียิ่งขึ้น อาทิ การผ่าตัดด้วยหุ่นยนต์ ซึ่งรวมถึงการควบคุมหุ่นยนต์ผ่านทางไกล และสามารถเข้ามาช่วยแก้ปัญหาเรื่องบุคลากรขาดแคลนในบางพื้นที่ พูดง่าย ๆ ก็คือ แม้ว่าแพทย์กับผู้ป่วยจะไม่ได้อยู่ในสถานที่เดียวกัน แต่ยังสามารถทำการผ่าตัดได้ด้วยระบบเทคโนโลยีการสื่อสารที่มีความเสถียรสูง รวมถึงการใช้ 5G เข้ามาช่วยติดตามในเรื่องของสุขภาพ ทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอาจจะกลายมาเป็นหนึ่งในเครื่องมือแพทย์ที่ใช้ตรวจสุขภาพได้โดยที่อาจจะไม่ต้องไปโรงพยาบาลหรือคลินิกเลย
2. กลุ่มผู้ผลิตสินค้า
ซึ่งต้องเผชิญกับแรงกดดันทางธุรกิจในเรื่องของคุณภาพ ความรวดเร็ว และราคา ที่แต่ก่อนดูเหมือนว่าบริษัทต้องเลือกว่าจะโดดเด่นในด้านใด แต่การเข้ามาของ 5G ถูกคาดหวังว่าจะช่วยให้ระบบ “การผลิตอัตโนมัติ” สามารถบรรลุเป้าหมายทั้ง 3 ส่วน ได้พร้อม ๆ กัน
ด้วยระบบโรงงานอัจฉริยะ จะช่วยยกระดับความสามารถในการผลิต (Productivity) ของแต่ละธุรกิจ ขณะเดียวกันการสั่งงานหุ่นยนต์ให้ทำงานในหลายฟังก์ชัน จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกระบวนการผลิต พร้อม ๆ กับต้นทุนการผลิตที่ลดลง ซึ่งภายใต้เทคโนโลยี 5G การอัพโหลดคำสั่งการทำงานใหม่ ๆ จะยิ่งรวดเร็วมากขึ้น นอกจากนี้ 5G ยังช่วยให้การคาดเดาเกี่ยวกับการซ่อมบำรุงได้แม่นยำยิ่งขึ้น
3. กลุ่มบริการขนส่ง
สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนและถูกพูดถึงกันมากที่สุดในปัจจุบันคือ ระบบรถยนต์ไร้คนขับ ซึ่งถูกคาดหวังว่าจะช่วยยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนน พร้อม ๆ กับระบบสัญญาณจราจรอัจฉริยะ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสภาพการจราจรในแต่ละช่วงเวลา ผ่านการติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Real-Time
ซึ่งธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับโลจิสติกส์ จะเป็นอีกกลุ่มย่อยที่จะได้ประโยชน์อย่างมาก อาทิ ระบบรถบรรทุกสินค้าไร้คนขับ ทำให้บริษัทสามารถคำนวณระยะเวลาในการขนส่งได้แม่นยำขึ้น ต้นทุนค่าแรงที่ลดลง
4. กลุ่มค้าปลีก
ได้ประโยชน์จากการเข้ามาของเทคโนโลยี Augmented reality (AR) และ Virtual reality (VR) ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถมองเห็นและเข้าใจสินค้าหรือบริการของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะในยุคของการขายสินค้าผ่านทางออนไลน์ ซึ่งเดิมทีจะมีข้อจำกัดว่าผู้บริโภคไม่ได้เห็นสินค้าจริง
5G ยังช่วยให้ธุรกิจเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้มากขึ้น อย่างเช่น การเก็บข้อมูลการทดลองสินค้าพวกเสื้อผ้า ผ่านการใช้เทคโนโลยี RFID แสกน Barcode ของสินค้าที่ลูกค้านำมาลองในห้องลองเสื้อ หรือการใช้ 5G เพื่อติดตามในเรื่องของสต๊อกสินค้า หากสต๊อกใกล้จะหมด สามารถกำหนดให้มีการแจ้งเตือนไปยังฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้
5. กลุ่มเทคโนโลยี
บริษัทอย่าง Nokia และ Ericsson ซึ่งเคยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือแถวหน้าของโลก ก่อนจะตกยุคไปจากการเข้ามาของ Smartphone แม้ชื่อของทั้งสองบริษัทจะแทบไม่มีใครเอ่ยถึงในวงกว้าง แต่การก้าวเข้าสู่ยุค 5G ทำให้บริษัทเหล่านี้เริ่มกลับมามีบทบาทอีกครั้ง
อย่าง Ericsson ในปัจจุบันเป็นผู้พัฒนาอุปกรณ์และ Solution สำหรับเทคโนโลยี 5G ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจอื่น ๆ สามารถนำเทคโนโลยี 5G มาปรับใช้กับธุรกิจของตัวเองได้ อย่างล่าสุด Singtel ซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูลใบอนุญาต 5G ในสิงคโปร์ ได้เลือก Ericsson เป็นผู้จัดหาอุปกรณ์สำหรับเครือข่าย 5G
ในขณะที่ Nokia ปัจจุบันครองส่วนแบ่งในตลาดโทรคมนาคมราว 23% สูงสุดเป็นอันดับ 3 รองจาก Huawei และ Ericsson ซึ่ง Nokia มุ่งพัฒนาในส่วนของหุ่นยนต์อัจฉริยะ (AI) มาอย่างต่อเนื่อง จนมีสิทธิบัตรในด้านนี้ราว 2,000 ใบ ซึ่งการเข้ามาของ 5G อย่างเต็มรูปแบบ จะช่วยให้สิ่งที่ Nokia คิดค้นเอาไว้ สามารถนำมาใช้งานในเชิงธุรกิจได้จริง
Marcus Weldon ประธานกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี เคยกล่าวไว้ว่า “5G จะทำให้มนุษย์รู้จักคำว่าความเป็นไปได้ที่เปลี่ยนแปลงไป มันจะนำมาสู่ระบบอัตโนมัติของทุกสิ่งทุกอย่าง รถยนต์อัจฉริยะหรือระบบเครือข่ายที่ทันสมัยขึ้น จะสร้างธุรกิจและบริการที่เติบโตขึ้น และน่าจะนำมาสู่อิสระภาพของมนุษย์มากขึ้นด้วย”
Comment