สำหรับปี 2024 นี้ ใครที่อยากเริ่มต้น “เล่นหุ้น” แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง พี่ทุยรวบรวมข้อมูลสิ่งที่ควรรู้ที่เหมือนกับกระดุมเม็ดแรกให้ทุกคนไปศึกษาเพิ่มเติมไว้ให้แล้ว เตรียมตัวเล่นหุ้น 2024 ต้องมีอะไรบ้าง แล้วเปิดพอร์ตกับ บล. Zcom จะช่วยการเทรดของเราได้ยังไง พี่ทุยสรุปไว้ให้แล้ว
เตรียมตัวเล่นหุ้น 2024 ต้องเริ่มตรงไหน ?
ก่อนที่จะเริ่มต้น “ลงทุนหุ้น” เราต้องเข้าใจก่อนว่า “หุ้น” คืออะไรกันแน่ ?
“หุ้น” ก็คือสิ่งที่แสดงให้เห็นถึง ‘ความเป็นเจ้าของ’ ในบริษัทใดบริษัทนึง ซึ่งผลประโยชน์ที่เราจะได้จากการถือหุ้นนั้นก็คือ
1. เงินปันผล (Dividend)
ผู้ถือหุ้นจะมีโอกาสได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการดำเนินงาน ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะจ่ายเป็นเงินสด แต่ในบางกรณีก็อาจจะจ่ายเป็นหุ้นได้เช่นกัน
2. ส่วนต่างราคา (Capital Gain)
อย่างที่เรารู้กันว่าราคาหุ้นนั้นมีการเคลื่อนไหวทุกวันทำการเสมอ ถ้าเราสามารถ ‘ซื้อถูก’ แล้วไป ‘ขายแพง’ ได้ ก็จะช่วยทำให้เราสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนหุ้นได้เช่นกัน
นอกจากผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินที่เราจะได้รับแล้ว การถือหุ้นก็ยังมีสิทธิต่าง ๆ ที่ได้รับมาด้วย เช่น สิทธิในการจองซื้อหุ้นที่ออกใหม่ (Right Offering) หรืออย่างสิทธิในการออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้น (Voting Right) เป็นต้น
โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในหุ้นก็มักจะสนใจ 2 เรื่องหลักคือ “เงินปันผล” และ “ส่วนต่างของราคา” สำหรับใครที่อยากจะเข้าลงทุนในตลาดหุ้น เราก็ต้องหาวิธีคิดวิเคราะห์ คาดการณ์หรือทำนายให้ได้ว่าหุ้นที่เราเข้าลงทุนกำลังจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน เช่น บริษัทที่เติบโตขึ้น รายได้เพิ่มขึ้น กำไรเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้ราคาของหุ้นมีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นนั่นเอง
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ “หุ้น” เป็นสินทรัพย์การลงทุนที่นิยมก็เพราะว่า “ผลตอบแทน” เมื่อเทียบกับสินทรัพย์อย่างทองคำ หรือเงินฝากแล้ว “หุ้น” สามารถให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ แม้ในระยะสั้นจะมีความผันผวนที่สูงกว่า แต่ในระยะยาวก็ยังมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าสินทรัพย์อื่น
ซึ่งเมื่อดูเป้าหมายการเงินที่เป็น “ระยะยาว” แล้ว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเพื่อรับเงินปันผลหรือวางแผนเกษียณอายุ หุ้นเองก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่ตอบโจทย์ความต้องการได้เป็นอย่างดี
แล้วถ้าจะแบ่งวิธีการสร้างผลตอบแทนในตลาดหุ้นจะสามารถแบ่งได้ 2 วิธีหลัก ได้แก่ “พื้นฐาน (Fundamental Analysis)” และ “เทคนิค (Technical Analysis)” ซึ่งนักลงทุนแต่ละสายก็จะมีมุมมองที่แตกต่างกัน
วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis)
เรามักจะเรียกนักลงทุนกลุ่มนี้ว่า นักลงทุนสายพื้นฐาน (Value Investor) หรือ VI กัน โดยนักลงทุนสายพื้นฐานจะเน้นวิเคราะห์จาก “พื้นฐานของกิจการ” เป็นหลัก
โดยจะดูข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น ธุรกิจของบริษัท งบการเงิน อัตราส่วนทางการเงิน ฯลฯ เพื่อหา “มูลค่าที่แท้จริงของหุ้น (Fair Price)” ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้น
นักลงทุนสายพื้นฐานจะเชื่อว่า “มูลค่าของหุ้นที่แท้จริง” จะสะท้อนถึงราคาของกิจการเสมอ ดังนั้นเมื่อเจอหุ้นที่ Fair Price สูงกว่าราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน นักลงทุนสายพื้นฐานก็จะเข้าไปลงทุนและรอให้ราคาวิ่งขึ้นมาใกล้เคียงกับ Fair Price แล้วจากนั้นก็จะพิจารณาขายออกไป
ซึ่งถ้าจะให้พูดถึงไอดอลของนักลงทุนสายพื้นฐาน ก็คงหนีไม่พ้นปู่วอร์เรน (Warren Buffet) กับลุงเบนจามิน เกรแฮม (Benjamin Graham) หรือจะเป็นนักลงทุนสายพื้นฐานของไทยก็คือ ดร.นิเวศน์
พี่ทุยแนะนำเลยว่าสำหรับใครอยากเริ่มต้นลงทุนสายพื้นฐาน ให้ลองศึกษา วิธีคิด วิธีการลงทุน รวมถึงหนังสือต่าง ๆ ที่วางขายอยู่จะช่วยทำให้เราเข้าใจหลักคิดและวิธีการคำนวณ Fair Price ให้กับเราได้
วิเคราะห์ปัจจัยเทคนิค (Technical Analysis)
เป็นอีกหนึ่งแนวทางการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบันที่สามารถประยุกต์ใช้กับการลงทุนได้ทั้งระยะสั้น กลาง และยาว
โดยนักลงทุนสายเทคนิคจะเน้นศึกษา “การเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการซื้อขาย” ในอดีต เพื่อประเมินแนวโน้มในอนาคต และสร้างความได้เปรียบในการหาจังหวะเข้าซื้อขาย
ซึ่งวิธี Technical Analysis มีหลักการในการใช้ที่สามารถอธิบายผ่าน Dow Theory ได้ดังนี้
1. ราคาหุ้นได้สะท้อนปัจจัยทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว (Price Discount Everything)
ไม่ว่าจะเป็นข่าวสาร งบการเงิน ปัจจัยทางเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมต่าง ๆ จะถูกสะท้อนออกมาที่ราคาเสมอ อะไรก็ตามที่มีผลดีกับหุ้นก็จะทำให้ความต้องการซื้อ (Demand) เพิ่ม
2. ราคาจะเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มจนกว่าแนวโน้มจะหมดลง (Prices Moves in Trends)
นักลงทุนสายเทคนิคเชื่อว่าราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวตามแนวโน้ม ไปจนกว่าแนวโน้มนั้นจะจบลงเสมอ ไม่ว่าจะเป็นขาขึ้น ขาลง หรือแนวโน้มคงที่ ดังนั้นสิ่งแรกที่นักลงทุนสายเทคนิคทำคือ หาแนวโน้มของราคาหุ้นให้เจอ และใช้กลยุทธ์วางแผนการซื้อขายที่เหมาะสมกับแนวโน้มนั้น ๆ
3. พฤติกรรมราคามักจะเกิดซ้ำรอย (History Repeats Itself)
อีกหนึ่งหลักคิดสำคัญเลยก็คือ นักลงทุนสายเทคนิคจะเชื่อว่ารูปแบบพฤติกรรมของราคาในอดีตจะเกิดซ้ำ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดมีทั้งความโลภ ความกลัวอยู่เสมอ วิธีการคิดต่าง ๆ ไม่ได้ตั้งอยู่บนตรรกะหลักการแบบ 100% แต่จะมีเรื่องของอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย จึงทำให้พฤติกรรมของราคาจะมีลักษณะแพทเทิร์นที่ใกล้เคียงเดิม
ซึ่งสำหรับนักลงทุนสายเทคนิค จะต้องหาระบบเทรดว่าเราจะเข้าหุ้นตัวไหน เงื่อนไขอะไรบ้าง มีจุดทำกำไร (Take Profit) รวมถึงจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ที่เท่าไหร่ นอกจากนี้สำหรับใครที่เป็นนักลงทุนสายเทคนิคก็ยังต้องมีการบริหารหน้าตัก (Money Management) และมี Mindset การลงทุนที่ถูกต้องสำหรับการเทรดเพื่อให้สามารถอยู่รอดในตลาดระยะยาวได้ด้วย
จะเห็นได้ว่าวิธีการสร้างผลตอบแทนผ่านหุ้นทั้งแบบพื้นฐานและเทคนิค จะมีวิธีการคัดเลือกหุ้นที่เข้าลงทุนที่แตกต่างกัน มีทั้งจุดเด่นและข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป พี่ทุยแนะนำว่าให้ลองศึกษาและลองลงทุนทั้ง 2 วิธี เพื่อหาว่าวิธีการลงทุนแบบไหนเป็นแบบที่ถนัดและเหมาะสมกับตัวเรามากที่สุด
และอีกหนึ่งเรื่องที่สำคัญสำหรับการลงทุนหุ้นเลยก็คือ “การเปิดบัญชี” สำหรับการซื้อขายหุ้น
พี่ทุยแนะนำที่นี่เลย “บล. Zcom” หรือ “บริษัทหลักทรัพย์ จีเอ็มโอ-แซด คอม (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)” หนึ่งในบริษัทในเครือ จีเอ็มโอ อินเตอร์เนท กรุ๊ป มี 10 บริษัทในเครือเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2559 พร้อมทุนจดทะเบียน 2,880 ล้านบาท
ที่มาพร้อมกับ 4 จุดเด่น ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้ง่ายมากขึ้น
หมายเหตุ: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
1. เปิดบัญชีออนไลน์ฟรี ! ไม่มีค่าสมัคร
แต่ละขั้นตอนตั้งแต่การสมัคร และยืนยันตัวตนสามารถทำผ่านออนไลน์ได้ทั้งหมด สะดวก ไม่ต้องเดินทางให้เสียเวลา
2. ค่าธรรมเนียมถูก ไม่มีขั้นต่ำ
บล. Zcom เสนอค่าธรรมเนียมสุดถูกเพียง 0.065% หรือหมื่นละ 6.50 บาทเท่านั้น (ไม่รวมค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ) และที่สำคัญเลยไม่มีขั้นต่ำ ไม่ว่าจะซื้อขายเท่าไหร่ก็คิดค่าธรรมเนียมตามจริง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับนักลงทุนที่เริ่มต้นลงทุนเลย โดยเฉพาะใครเป็นนักลงทุนสายเทคนิค ที่เทรดระยะสั้นถึงระยะกลาง ที่มีการซื้อขายบ่อย ๆ ยิ่งค่าธรรมเนียมต่ำ ก็ยิ่งช่วยทำให้เราเหลือเงินเยอะขึ้น
3. มีเครื่องมือลงทุนครบครัน
นักลงทุนสามารถเลือกใช้งานได้ทั้ง Streaming และ efin ที่ไว้ใช้สำหรับซื้อขายหุ้น แถมยังมีบทวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญที่จะส่งให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประกอบกับการตัดสินใจลงทุนได้ และแน่นอน ! ลูกค้าของ บล. Zcom สามารถใช้งานได้ฟรี ! ไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ เพิ่มเติม
4. สามารถเข้าเรียนห้องเรียนหุ้นออนไลน์ ZCHOOL ได้ไม่จำกัด
อีกหนึ่งเรื่องที่พี่ทุยชอบมาก ๆ เลยก็คือลูกค้าของ บล. Zcom สามารถเข้าเรียน หุ้นออนไลน์ ZCHOOL ได้ไม่จำกัด ที่มีทั้งผู้เชี่ยวชาญ อินฟลูเอนเซอร์ต่าง ๆ ที่เข้ามาให้ความรู้กันแบบไม่มีกั๊ก ไม่ว่าจะสายพื้นฐานหรือสายเทคนิคก็มีให้เลือกเรียนได้กันแบบเต็มที่
สำหรับใครที่สนใจเปิดบัญชีหุ้นกับทาง บล. Zcom สามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ https://bit.ly/48NR1J9 ได้เลย
หมายเหตุ: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
อ่านเพิ่ม