ส่องภาพรวม เศรษฐกิจ ปี 2024 จะรอดหรือร่วง? ปรับพอร์ตยังไงดี?

ส่องภาพรวม เศรษฐกิจ ปี 2024 จะรอดหรือร่วง? ปรับพอร์ตยังไงดี?

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • สถาบันต่าง ๆ คาดการณ์ GDP โลก ปี 2024 โตต่ำกว่า 3% โดยเมื่อเทียบในกลุ่มประเทศมหาอำนาจที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่อย่าง สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน พบว่า GDP จีนมีแนวโน้มเติบโตสูงสุดระดับสูงกว่า 4% แต่ก็ถือว่าเป็นระดับการเติบโตที่ต่ำกว่าในอดีตของจีน 
  • EIU ประเมินว่าจะมี 5 ความเสี่ยงสำคัญที่ควรจับตาในปี 2024 ได้แก่ การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดจะลากยาวถึงปี 2024 สภาพอากาศที่สุดขั้ว ความตึงเครียดของสถานการณ์ในจีน-ไต้หวัน สงครามอิสราเอล-ฮามาส กลายเป็นสงครามระดับภูมิภาค และการใช้ปัญญาประดิษฐ์ ในสมรภูมิการเมือง
  • ควรจัดพอร์ตลงทุนโดยลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย รวมทั้งคำนึงถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และควรให้ระยะเวลาการลงทุนยาวหน่อย ประมาณ 3 ปีขึ้นไป 

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

สิ้นปีใกล้เข้ามาทุกที​ ส่วนพอร์ตลงทุนเนี่ยสิ แทบจะสิ้นใจ เพราะติดลบ มาตั้งแต่ปี 2022​ เข้าปี 2023 จนจะออกปี หวังว่าจะหลุดจากเส้นแดง แต่จนแล้วจนรอดก็ยังแดงเถือกเกือบยกแผง วันนี้พี่ทุย​เลยอยากพาทุกคนมาเช็กอัป ภาพรวม เศรษฐกิจ ปี 2024 แนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกเป็นยังไง ภูมิภาคไหนสุดปัง ภูมิภาคไหนน่าห่วง แล้วคนลงทุนอย่างเรา ควรเลือกไปลงทุนที่ไหนดี 

สรุปคาดการณ์ GDP โลก และประเทศมหาอำนาจ ปี 2024 

ส่องภาพรวม เศรษฐกิจ ปี 2024 จะรอดหรือร่วง?

ถ้าดูจากตัวเลขคาดการณ์ของสถาบันเศรษฐกิจ สำนักวิจัยต่าง ๆ ก็จะพบว่า ทั้งหมดมอง GDP โลก ปี 2024 โตต่ำกว่า 3% ทั้งสิ้น โดยในส่วนของ IMF มองดีที่สุดว่าจะอยู่ในระดับ 2.9% 

ขณะที่เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง 4 กลุ่มประเทศมหาอำนาจทั้งที่อยู่ในฝั่งตะวันตกและตะวันออก ได้แก่ สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น และจีน พบว่า ส่วนใหญ่มองเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป ยังเติบโตได้ในปี 2024 ไม่ได้หดตัว แต่ส่วนใหญ่มองว่า จะเติบโตในอัตราเกินกว่า 1% เล็กน้อยเท่านั้น 

ส่วนของญี่ปุ่น ก็น่าจะเติบโตในระดับเกินกว่า 1% มาไม่มากเช่นกัน มีเพียงจีน ที่สำนักต่าง ๆ มองว่า เศรษฐกิจน่าจะขยายตัวได้มากกว่าค่าเฉลี่ยของโลก อยู่ในระดับเกินกว่า 4% อย่างไรก็ตาม การมองเศรษฐกิจจีนเติบโตในระดับนี้ ก็ถือว่า ยังเป็นการเติบโตที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับระดับการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในอดีตก่อนเกิดโควิด

สรุปประเด็นสำคัญ เศรษฐกิจ ปี 2024

IMF

เศรษฐกิจกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว คาดการณ์ +1.4% ในปี 2024 ท่ามกลางการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวด ส่วนเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่ และประเทศกำลังพัฒนา คาดการณ์ การเติบโตลดลงเล็กน้อย อยู่ที่ 4.0% ในปี 2024 

เงินเฟ้อโลก น่าจะเติบโตลดลงเป็น +5.8% ในปี 2024 ผลจากนโยบายการเงินที่เข้มงวด ประกอบกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่ลดลง โดยเงินเฟ้อพื้นฐาน คาดว่าจะค่อย ๆ ปรับลดลงในระดับที่มากขึ้น อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อจะยังไม่กลับไปสู่เป้าหมายจนถึงปี 2025 

Conference Board

ในช่วง 10 ปีจากนี้ การเติบโตของเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้านี้ โดยเติบโตเฉลี่ยแค่ 2.5% ต่อปี ต่ำกว่าช่วงก่อนการแพร่ระบาดที่เติบโตเฉลี่ย 3.3% ต่อปี 

เศรษฐกิจของตลาดเกิดใหม่ในเอเชีย โดยเฉพาะ จีน และอินเดีย จะมีสัดส่วนสูงมากในการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ขณะที่สัดส่วนของเศรษฐกิจพัฒนาแล้วจะลดลง 

ความเสี่ยงสำคัญของเศรษฐกิจโลกมี 2 ประเด็น คือ 

1. เงินเฟ้อ

ความล้มเหลวของธนาคารกลางในการดึงเงินเฟ้อลงมาให้อยู่ในเป้าหมาย เงินเฟ้อทั่วไปผ่านจุดสูงสุดไปแล้วในหลาย ๆ ภาคเศรษฐกิจ เงินเฟ้อพื้นฐาน (ไม่รวมสินค้าที่มีความผันผวน เช่น อาหารและพลังงาน) ยังคงสูงและลงช้าในหลายประเทศ 

สงครามยูเครนที่ยังมีต่อไป กดดันราคาอาหาร ความขัดแย้งที่ยังมีอยู่ และประเด็นสภาพภูมิอากาศ ยังคงสร้างผลกระทบเชิงลบต่อพืชผล ราคาอาหารยังสูงขึ้น ขณะที่ แรงกดดันราคาในสินค้าและภาคอุตสาหกรรมโลกลดลง และถ้าเป็นไปตามประวัติศาสตร์ ราคาภาคบริการ ควรปรับมาอยู่ในระดับปานกลางในไตรมาสถัดไป  ส่วนความเร็วของการปรับลดของเงินเฟ้อเป็นสิ่งที่ประเมินได้ยาก 

2. ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราดอกเบี้ย

ปัจจุบันนโยบายดอกเบี้ยของประเทศหลัก ๆ เป็นแบบ อัตราดอกเบี้ยจะอยู่สูงนาน เนื่องจากแรงกดดันเงินเฟ้อที่สูงอาจทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงในช่วงทศวรรษข้างหน้า เมื่อเทียบกับสิบปีที่ผ่านมา 

หมายความว่า ต้นทุนเงินทุนที่สูงขึ้น ของธุรกิจ และต้นทุนการกู้ยืมของผู้บริโภคอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ GDP ที่แท้จริงของโลกชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ รวมทั้งทำให้เกิดภาวะหนี้สูง โดยทำให้หนี้รัฐบาลสูงเกินเพดาน นำไปสู่การถูกลดความน่าเชื่อถือ เพิ่มต้นทุนการกู้ยืม สำหรับผู้บริโภค โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายสูงขึ้นสำหรับหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน เช่น หนี้บัตรเครดิต  

OECD

เศรษฐกิจโลกปี 2024 คาดว่าจะเติบโตได้ต่ำกว่าปี 2023 เงินเฟ้อทั่วไปจะค่อย ๆ ลดลง เงินเฟ้อพื้นฐานยังคงสูง โดยมีแรงขับเคลื่อนจากภาคบริการ และตลาดแรงงานที่ยังตึงตัว

ความเสี่ยงขาลงยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็น เงินเฟ้อที่ยังสูง ยังมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการหยุดชะงักในตลาดพลังงานและอาหาร ส่วนเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง จะเป็นตัวฉุดรั้งการเติบโตของเศรษฐกิจทั่วโลก และยังมีประเด็นหนี้สาธารณะที่ยังอยู่ในระดับสูงในหลายประเทศให้จับตา

การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดในหลายประเทศส่งผลต่อเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยนโยบายที่เพิ่มขึ้นรวดเร็ว ทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยสินเชื่อขององค์กร และสินเชื่อจำนองบ้านใหม่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อความต้องการของครัวเรือนและบริษัท 

Allianz

ความต้องการของผู้บริโภคยังอ่อนแรง ท่ามกลางความมั่งคั่งที่ลดลง และความระมัดระวังในการเก็บออมเงินเพิ่มขึ้น

การค้าโลกปรับตัวลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ท่ามกลางกระบวนการลดการเก็บสต็อกสินค้าในภาคการผลิต 

เงินเฟ้อเริ่มลดลง นำไปสู่จุดเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย โดยคาดว่า เงินเฟ้อโลก +4.3% ในปี 2024 ลดลงจากระดับปี 2023 แต่ก็ยังอยู่เหนือระดับ 3% ต่อไปจนถึงในปี 2025 โดย ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะพลังงาน จะเป็นตัวที่ทำให้เงินเฟ้อมีความผันผวน ส่วนค่าแรงที่เติบโตจะกัดกินกำไรของบริษัท โดยเฉพาะในเยอรมนี และอังกฤษ อย่างไรก็ตามการเติบโตของค่าแรงควรจะหยุดแล้ว เนื่องจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่มีขีดจำกัด

เงินดอลลาร์ ยังมีแนวโน้มแข็งค่าใน 6 เดือนข้างหน้า กดดันสกุลเงินต่าง ๆ ในโลก 

อัตราดอกเบี้ยของประเทศหลัก ๆ จะคงอยู่ในระดับสูง และลดลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ตลาดทุนยังต้องเผชิญการต่อสู้ระหว่างเศรษฐกิจมหภาคและเศรษฐกิจจุลภาค นักลงทุนยังคงระมัดระวังความไม่แน่นอนจากเศรษฐกิจชะลอตัว การตัดสินใจด้านนโยบายดอกเบี้ย ซึ่งปัจจุบันเป็นแบบ ดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูงไปอีกนาน 

Goldman Sachs

จะเห็นการลดลงของเงินเฟ้อที่มากขึ้นในปี 2024 แม้ว่า ราคาที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์และตลาดแรงงานจะปรับขึ้นไปเยอะแล้ว โดยคาดว่า เงินเฟ้อพื้นฐานจะกลับมาอยู่ในระดับ 2-2.5% ณ สิ้นปี 2024 

ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกถดถอยมีจำกัด โดยโอกาสเกิดเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ มีแค่ 15% นอกจากนี้ จะมีแรงลมส่งหลายอย่างต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก ในปี 2024 ทั้งการเติบโตของรายได้ครัวเรือนที่แข็งแกร่ง นโยบายการเงินและการคลังที่เข้มงวดน้อยลง การฟื้นตัวของกิจกรรมการผลิต และธนาคารกลางต่าง ๆ จะเต็มใจมากขึ้น ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากการเติบโตของเศรษฐกิจชะลอลง

ธนาคารกลางประเทศพัฒนาแล้วส่วนใหญ่ หยุดขึ้นดอกเบี้ย แต่ภายใต้คาดการณ์เศรษฐกิจโลกที่แข็งแกร่ง การลดดอกเบี้ยอาจจะยังมาไม่ถึงจนกว่าจะถึงครึ่งหลังของปี 2024 อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลดลงแล้ว แต่ธนาคารกลางจะปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่สูงกว่าที่คาดการณ์ เพื่อความยั่งยืนระยะยาว

ธนาคารกลางญี่ปุ่น น่าจะเริ่มผละออกจากการใช้นโยบายควบคุมเส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (yield curve control) ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ก่อนจะเลิกใช้อย่างเป็นทางการ และขึ้นดอกเบี้ยช่วงครึ่งหลังของปี 2024 เพราะเงินเฟ้อยังเกินเป้า 2% อยู่ 

การเติบโตของเศรษฐกิจจีนในระยะใกล้ อาจได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่การชะลอตัวในหลายปีข้างหน้ายังมีต่อไป 

สรุปประเด็นความเสี่ยงสำคัญที่นักลงทุนควรจับตาในปี 2024 

ถ้าดูจาก ข้อมูลความเสี่ยงที่สำคัญในปี 2024 ที่ทาง Economist Intelligence Unit (EIU) สถาบันวิจัยเศรษฐกิจได้ประเมินเอาไว้ พบว่า มี 5 ประเด็นสำคัญ ดังนี้ 

1. การดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดจะลากยาวถึงปี 2024 

(โอกาสเกิด ปานกลาง ผลกระทบ สูง)

แม้ว่า EIU จะคาดการณ์ว่า นโยบายการเงินที่เข้มงวดจะสิ้นสุดลง แต่ก็ยังมีความเสี่ยงในระดับปานกลางที่เงินเฟ้อจะกลับมาเร่งตัวในปี 2024 ทำให้ธนาคารกลางยังคงต้องใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไปถึงปี 2024 ซึ่งประเด็นนี้อาจทำให้เกิดเศรษฐกิจถดถอย และความผันผวนทางการเงินได้   

2. สภาพอากาศที่สุดขั้ว 

(โอกาสเกิด สูง ผลกระทบ ปานกลาง) 

สาเหตุของความเสี่ยงนี้ มาจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ​ ซึ่งจะกระทบห่วงโซ่อุปทานโลก โดยโอกาสเกิดเหตุการณ์นี้มีเป็นระยะๆ และการเกิดเหตุการณ์อาจจะเป็นในบางจุดภูมิศาสตร์ของโลก อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่สร้างผลกระทบจากจุดหนึ่ง จะเริ่มเชื่อมโยงกับจุดอื่น ๆ มากขึ้น 

ความเสียหายของภัยแล้งและคลื่นความร้อน จะสร้างผลกระทบอย่างมากต่อการผลิต ทำให้เกิดการขาดแคลนอาหาร ห่วงโซ่อุปทานที่ตึงตัว และต้นทุนภาครัวเรือนที่เร่งตัว โดยการขาดแคลนอาหารจะเป็นส่วนหนึ่งของโลก ที่นำไปสู่การย้ายพลเมืองครั้งใหญ่ หรือสงคราม สร้างผลกระทบด้านการเมืองในหลายประเทศ และอาจส่งผลต่อเนื่องไปยังประเทศอื่น 

3. ความตึงเครียดของสถานการณ์ในจีน-ไต้หวัน

(โอกาสเกิด ต่ำ ผลกระทบ สูงมาก)

จีน เริ่มจับตาดูความเคลื่อนไหวของไต้หวันมากขึ้น ซึ่งหากความขัดแย้งระหว่างจีนและไต้หวันขยายวงกว้างขึ้น จะมีผลกระทบอย่างมากกับเศรษฐกิจไต้หวัน และอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ อาจถูกตัดขาดชั่วคราวจากห่วงโซ่อุปทานโลก จากการที่มีสงครามระหว่างรัฐ ขณะที่ สหรัฐฯ ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น รวมทั้งยุโรป และรัฐบาลพันธมิตรรายอื่นของสหรัฐฯ จะใช้นโยบายการจำกัดทางการค้าและการลงทุนกับจีน 

4. สงครามอิสราเอล-ฮามาส กลายเป็นสงครามระดับภูมิภาค

(โอกาสเกิด ต่ำมาก ผลกระทบ สูง)

ถ้าความขัดแย้งทางกองทัพระหว่างอิสราเอล และกลุ่มฮามาสบานปลาย โดยมีรัฐอื่นที่เห็นใจปาเลสไตน์เข้ามามีส่วนร่วมด้วย จนนำไปสู่ความขัดแย้งระดับภูมิภาค จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง

5. การใช้ปัญญาประดิษฐ์ ในสมรภูมิการเมือง 

(โอกาสเกิด ปานกลาง ผลกระทบ ต่ำ)

มีคนจำนวนมากขึ้นที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ในกลุ่ม Generative AI ที่สามารถสร้างสรรค์เนื้อหาใหม่ ๆ ขึ้นมาได้คล้ายมนุษย์ ซึ่งหากมีการนำมาใช้ใน การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในปี 2024 ทั้งสภายุโรป สหรัฐฯ อังกฤษ อินเดีย และไต้หวัน ก็จะมีความเสี่ยงมากที่จะทำให้เกิดการให้ข้อมูลที่ทำให้เข้าใจผิดในทางการเมือง ทั้งภาพ เสียง และวิดีโอ และอาจมีผลเปลี่ยนผลการเลือกตั้งในประเทศหลัก ๆ หรือ อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นทางการเมืองของผู้ลงคะแนนเสียงได้ 

เศรษฐกิจ ปี 2024 นักลงทุนควรจัดพอร์ตยังไง 

รู้ข้อมูลแนวโน้มเศรษฐกิจ กับความเสี่ยงที่สำคัญ ๆ ของปี 2024 แล้ว ก็มาถึงประเด็นสำคัญสำหรับนักลงทุนอย่างเรา ๆ นั่นก็คือ แล้วจะจัดพอร์ตแบบไหนดีล่ะ เพื่อรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ 

พี่ทุย ขอหยิบคำแนะนำของสถาบันลงทุนต่างๆ มานำเสนอ ดังนี้ 

สรุปคำแนะนำการลงทุน

Allianz 

  • เน้นพิจารณางบดุลของบริษัทต่าง ๆ ก่อนเลือกลงทุน โดยคัดเลือกบริษัทที่มีความยืดหยุ่น มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่จะยังมีแนวโน้มการดำเนินงานเชิงบวกได้ ท่ามกลางเศรษฐกิจมหภาคที่ฟื้นตัว 
  • การลงทุนในหุ้น คาดการณ์ว่าจะให้ผลตอบแทนเป็นบวกได้ในระยะ 3 ปีข้างหน้า ประมาณ 7-10% ต่อปี ส่วนตลาดตราสารหนี้ คาดว่า จะยังเผชิญความเสี่ยงจากเครดิตที่ตึงตัว และจะมีความผันผวนในระยะสั้น 
  • แนะนำให้ใช้กลยุทธ์ทำ carry trade (การยืมตราสารทางการเงินหนึ่ง ไปซื้อเครื่องมือทางการเงินอีกอย่างหนึ่ง เช่น ยืมสินทรัพย์สกุลเงินหนึ่งที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ ไปซื้อสินทรัพย์อีกสกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า) กับตลาดเกิดใหม่ แต่ต้องเลือกประเทศที่จะใช้กลยุทธ์นี้ให้ดี

Goldman Sachs 

  • ผลตอบแทนจากตราสารหนี้ หุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ จะมีโอกาสมากกว่าเงินสดในปี 2024 โดยสินทรัพย์แต่ละประเภทมีความสามารถในการใช้ป้องกันความเสี่ยงในประเด็นที่แตกต่างกัน ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ แนะนำให้ รักษาสมดุลการมีสินทรัพย์ต่างๆ ในพอร์ต ควรผสมผสานหลาย ๆ สินทรัพย์ในพอร์ต แทนที่จะเน้นถือเงินสดเหมือนในปี 2023 

Pimco 

  • ควรจัดพอร์ตลงทุนให้มีความยืดหยุ่นสูง รับมีกับความเสี่ยงสงครามต่าง ๆ ที่ยังมีอยู่  
  • พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จะให้ผลตอบแทนที่น่าดึงดูดใจมากขึ้น ในสภาพแวดล้อมที่ดอกเบี้ยผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ขณะที่การคัดเลือกตราสารหนี้สหรัฐฯ ควรเน้นเลือกตราสารหนี้ของบริษัทที่คุณภาพสูง งบดุลแข็งแกร่ง โดยเลือกกลุ่มตราสารหนี้ที่มีอายุมากกว่า 5 ปี ซึ่งคาดว่ามีโอกาสให้ผลตอบแทนประมาณ 5-7.5%  
  • การลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ มีความท้าทายมากขึ้น เนื่องจากคาดการณ์ว่าในระยะข้างหน้า ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐฯ อาจจะออกมาน่าผิดหวัง ตามเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ดังนั้นต้องระมัดระวังการลงทุนในหุ้นสหรัฐฯ มากขึ้น อาจจะเลือกหุ้นคุณภาพที่อยู่ใน S&P500 เน้นหุ้นที่ได้รับแรงสนับสนุนจากมาตรการทางการคลัง กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากโครงการระยะยาว เช่น ได้ประโยชน์จากโครงการภายใต้กฎหมาย Inflation Reduction Act ของสหรัฐฯ ที่เน้นส่งเสริมการลงทุนกลุ่มพลังงานสะอาด 
  • ตราสารหนี้ในประเทศอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ ออสเตรเลีย แคนาดา อังกฤษ และยุโรป ส่วนประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่ตราสารหนี้น่าสนใจ คือ บราซิล และเม็กซิโก ที่อยู่ในช่วงเงินเฟ้อลดลง และอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงสูงชัดเจน
  • ให้ระมัดระวังการลงทุนในหุ้นกู้คุณภาพต่ำ ที่นำเสนออัตราดอกเบี้ยลอยตัว เพราะจะยังได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยสูงอยู่  
  • ควรลดการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่น เพราะนโยบายการเงิน อาจเข้มงวดขึ้น จากเงินเฟ้อเร่งตัว จนไปทำให้ อัตราผลตอบแทนจากเงินสดในญี่ปุ่นดึงดูดมากขึ้น  
  • ควรลดการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวกับดอกเบี้ย เช่น อสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ ที่อาจได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยสูง 

ถ้าดูจากแนวโน้มหลาย ๆ สำนักแล้ว พี่ทุยมองว่า ปี 2024 นักลงทุนก็ยังต้องระมัดระวังการลงทุนมาก ๆ ถ้าจะลงทุนในตราสารหนี้ ก็ต้องเน้นเลือกที่มีคุณภาพ มากกว่าจะไปมุ่งเน้นกลุ่มตราสารหนี้ที่ให้ผลตอบแทนสูง ๆ แต่ว่ามีความเสี่ยงสูง เพราะว่า เศรษฐกิจก็ยังมีความไม่แน่นอนสูง สถานการณ์ดอกเบี้ยก็ยังสูง ซึ่งไม่ดีต่อบริษัทที่มีหนี้สูงแต่พื้นฐานไม่แข็งแกร่ง 

ส่วนการลงทุนในหุ้น ถ้าดูจากภาพรวมเศรษฐกิจแล้ว พี่ทุยมองว่า ถึงแม้แนวโน้มเศรษฐกิจในตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน กับอินเดียจะดี แต่เราก็ไม่สามารถทุ่มใจฝากความหวังไว้กับหุ้นในตลาดเหล่านี้ได้ เพราะความเสี่ยงมีรออยู่ข้างหน้าอีกมาก ส่วนตลาดพัฒนาแล้วหลัก ๆ อย่าง สหรัฐฯ ยุโรป และญี่ปุ่น ที่เศรษฐกิจดูเติบโตได้น้อย แถมดอกเบี้ยก็สูง ก็อาจจะยังไม่ใช่คำตอบ สำหรับคนที่ต้องการลงทุนหุ้นแค่ระยะสั้น ๆ และไม่พร้อมเสี่ยงสูง 

ในส่วนของสินทรัพย์ทางเลือกต่าง ๆ เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ พวกทองคำ น้ำมัน พี่ทุยมองว่า ก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าจะมีติดพอร์ตไว้สักหน่อย เพราะสินทรัพย์เหล่านี้ มักจะไม่ได้มีความสัมพันธ์เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันกับหุ้นหรือตราสารหนี้สักเท่าไหร่ 

โดยรวมแล้ว ก็คือ ควรจะมีสินทรัพย์หลาย ๆ อย่างในพอร์ตลงทุน เงินสด ไม่ต้องถือมาก แต่ก็ยังต้องถือไว้ติดพอร์ตบ้าง ซึ่งก้อนนี้จะไม่นับรวมเงินสดที่เตรียมไว้ใช้ฉุกเฉิน ซึ่งเงินก้อนนั้นก็ต้องมีเหมือนกัน และต้องแยกออกไปให้ชัดเจน โดยควรมีสำรองไว้อย่างต่ำๆ 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน 

ส่วนตราสารหนี้ หุ้น และสินทรัพย์ทางเลือก มีเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับความสามารถยอมรับความเสี่ยงของแต่ละคน ถ้าเป็นคนที่รับความเสี่ยงสูงได้อาจจะมีหุ้นได้เยอะหน่อย เกิน 60-70% แล้วมีสินทรัพย์ทางเลือกได้สัก 10-15% 

แต่ถ้ารับความเสี่ยงได้ค่อนข้างต่ำ ต้องมีตราสารหนี้เก็บไว้มากหน่อย เกินกว่า 60-70% หุ้นมีไว้บ้าง ให้พอเหมาะกับความผันผวนที่รับไหว ส่วนจะเลือกหุ้นประเทศไหนบ้างมาไว้ในพอร์ต ก็ควรผสมกันหลายๆ ประเทศ หรือไม่อยากคิดเอง ก็เลือกผ่านกองทุนที่ไปลงทุนทั่วโลก แบบที่ผสมสัดส่วนมาให้เรียบร้อยแล้ว ส่วนสินทรัพย์ทางเลือก ก็อาจจะไม่เกิน 5% 

สิ่งสำคัญที่สุด ที่พี่ทุยขอย้ำไว้ทิ้งท้ายก็คือ การลงทุน  ไม่ใช่เรื่องระยะสั้น ๆ ที่เรานั่งมองหน้าจอรอดูผลการดำเนินงานแบบตามติดทุกวัน เมื่อไหร่จะบวกซะที ถ้าเราตั้งใจใส่เงินเข้าไป เพื่อคาดหวังให้ได้ผลตอบแทนคืนมากเยอะๆ เร็วๆ อันนี้ อาจจะเป็นแนวเก็งกำไรซะมากกว่า ทำได้ แต่ควรทำน้อยๆ เพราะระยะเวลาที่สั้นๆ มีโอกาสที่จะเราจะกำไรสูงได้ แต่ก็ขาดทุนสูงได้เช่นกัน 

ทางที่ดีคือ ควรลงทุนระยะยาวหน่อย ยาวในที่นี้ ก็อาจจะ 3 ปีขึ้นไป หรือถ้าจะให้ดีก็ 5 ปีขึ้นไป เพราะยิ่งลงทุนนานๆ โอกาสขาดทุนก็จะยิ่งลดลง โอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนในระดับที่คาดหวังก็จะมีมากขึ้น

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile