หนึ่งในผลการแข่งขันที่ช็อกผู้ชมทั่วโลกในศึกฟุตบอลโลก 2022 ที่กาตาร์หนนี้ คงหนีไม่พ้นเกมที่ญี่ปุ่นพลิกกลับมาชนะเยอรมนีไปด้วยสกอร์ 2-1 จนหลายคนเริ่มวาดฝันไปถึง ญี่ปุ่นเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก
ฟอร์มการเล่นที่สู้ไม่ถอยแบบนี้เป็นสไตล์ของขุนพลซามูไรบลูอยู่แล้ว หลายคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่รู้หรือไม่ว่ามันคือ การวางแผนงานที่มีวิสัยทัศน์และลงมือทำอย่างต่อเนื่องของสมาคมฟุตบอลญี่ปุ่น
แผนงานนี้น่าสนใจมาก มีการวางโครงสร้างการพัฒนาฟุตบอลญี่ปุ่นไว้ทั้งระบบ เป้าหมายที่สำคัญคือ การคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกให้ได้ภายในปี 2050
พี่ทุยมาสรุปรายละเอียดของโปรเจคนี้ของญี่ปุ่นให้ฟังกัน ว่าเป็นแบบไหน แล้วตอนนี้เขาไปไกลถึงไหนกันแล้ว
โปรเจคญี่ปุ่นเป็นแชมป์ฟุตบอลโลก ปี 2050
ญี่ปุ่นนั้นขึ้นชื่อในเรื่องความมีระเบียบวินัยและการทำงานหนักอย่างจริงจังมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ซึ่ง DNA นี้ก็ยังได้รับการถ่ายทอดมาไว้ในแผนการพัฒนาของสมาคมฟุตบอลของญี่ปุ่น (JFA) ด้วย
การตั้งเป้าว่าจะเป็นแชมป์โลกในปี 2050 ไม่ได้เพิ่งมาตั้งเร็ว ๆ นี้ แต่สมาคมฟุตบอลญี่ปุ่นมีการประกาศ (The JFA Declaration) เอาไว้ตั้งแต่ปี 2005 (ล่วงหน้า 45 ปี) ควบคู่ไปกับการสร้างฐานแฟนบอลที่รักฟุตบอลอย่างจริงจังอย่างน้อย 10 ล้านคน
ถ้าฟังดูเผิน ๆ ก็ดูไม่ได้ต่างอะไรกับแผนพัฒนาฟุตบอลของชาติอื่น ๆ แต่สิ่งที่ต่างกันของญี่ปุ่น คือ มีแนวทางการดำเนินงานแบบชัดเจน จริงจัง และจับต้องได้
ญี่ปุ่นวางเป้าหมายไว้อย่างเป็นขั้นเป็นตอนว่าในทุก ๆ ช่วง 10 ปี หรือ 15 ปีจะต้องเห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมอะไรบ้าง เพื่อให้มั่นใจว่ายังคงอยู่บนเส้นทางที่จะไปสู่เป้าหมายที่วาดหวังเอาไว้ เช่น
- ปี 2015 ญี่ปุ่นต้องเป็น 1 ใน 10 สมาคมฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก และมีฐานแฟนบอลที่รักฟุตบอลอย่างจริงจังให้ได้ 5 ล้านคน
- ปี 2025 ญี่ปุ่นจะต้องคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในรุ่นเยาวชนไม่เกิน 20 ปี หรือ 17 ปี และจะต้องเป็นแชมป์ฟุตบอลชายหาด
- และในปี 2030 ญี่ปุ่นจะต้องเข้ารอบ 4 ทีมสุดท้ายให้ได้ และขยายฐานแฟนบอลที่รักฟุตบอลแบบจริงจังให้ได้ 8 ล้านคน (ตอนนี้มีอยู่ 6.4 ล้านคน) และติด 1 ใน 3 สมาคมฟุตบอลที่ดีที่สุดในโลก
พอเห็นแบบนี้ ก็ใช่ว่าหลังจากปี 2030 ทาง JFA จะไม่มีแผนการอะไรเลย เพราะในแผนมีการบอกไว้ว่าจะต้องมีการทบทวนเป้าหมายกันใหม่ ว่าสิ่งที่ทำมาจะต้องแก้ไขหรือเพิ่มเติมอะไร เพื่อให้ถึงเป้าหมายการเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 2050 และขยายฐานแฟนบอลให้ถึง 10 ล้านคน
ที่มา https://www.jfa.jp
โปรเจคที่ดีต้องยืดหยุ่นและปรับเปลี่ยนได้
นอกจากแผนระยะยาวแล้ว JFA ยังมีแผนระยะกลาง (Mid-term Plan) แบบราย 5 ปี ว่าจะต้องทำอะไรก่อน-หลัง ต้องพัฒนาอะไร และที่สำคัญคือมีการยืดหยุ่นตามสถานการณ์ เพื่อใช้งานได้จริง อะไรที่ไม่เป็นไปตามเป้าก็มาแก้ไขแผนแบบละเอียดเป็นรายปี รีวิวกันทุกปี
พอมีการวางแผนงานที่จับต้องได้ ทำได้จริง ก็เลยทำให้วงการฟุตบอลของญี่ปุ่นพัฒนาขึ้นแบบรวดเร็วมากตลอด 10 ปีที่ผ่านมา
และตอนนี้แผนระยะกลางที่ใช้อยู่ คือ แผนระยะกลางปี 2022-2025 มีตั้งแต่การพัฒนาระดับฟุตบอลอาชีพ ฟุตบอลรากหญ้า ไปจนถึงพัฒนาระบบโค้ช ผู้ตัดสิน และพัฒนาฟุตบอลในเชิงธุรกิจ
ที่มา https://www.jfa.jp/eng/about_jfa/plan/
สิ่งที่น่าสนใจและชวนให้เราติดตาม คือ แผนนี้ได้กำหนดว่าในฟุตบอลโลก 2022 นี้ คาดหวังไว้ว่าจะต้องไปให้ถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย (4 ปีที่แล้วที่รัสเซีย เข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย)
แล้วญี่ปุ่นมีโอกาสเป็นแชมป์โลกปี 2050 มากแค่ไหน ?
ปี 2022 ที่พี่ทุยมาสรุปให้ทุกคนฟังตอนนี้ ถ้าเราลองย้อนกลับไปดูที่จุดเริ่มต้นในปี 2005 จะพบว่าแผนพัฒนาของ JFA นั้นเติบโตไปมาก มีเส้นทางที่มั่นคง และมีโอกาสสำเร็จตามเป้าหมายเป็นแชมป์ฟุตบอลโลกปี 2050 ได้สูงมาก
เหตุผลก็คือ ที่ผ่านมาญี่ปุ่นได้โควต้าเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกมาตลอด ตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อปี 1998 แถมประสิทธิภาพการทำงานของ JFA ยังได้รับการยอมรับในระดับโลก
ส่วนผลงานในระดับฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 20 ปีที่ผ่านมา สามารถเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้ทั้งหมด 3 ครั้ง
- ปี 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วม
- ปี 2010 ที่แอฟริกาใต้
- และ ปี 2018 ที่รัสเซีย
ทำให้เป้าหมายฟุตบอลโลก 2022 ครั้งนี้ที่จะต้องไปให้ถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ดูน่าจะไม่ไกลเกินเอื้อม แถมขุมกำลังนักเตะของญี่ปุ่นเองก็มีมาตรฐานที่สูงขึ้น กว่าครึ่งทีมเป็นนักฟุตบอลที่ค้าแข้งอยู่ในทวีปยุโรป
ลีกฟุตบอลอาชีพของญี่ปุ่น (J-League) ที่เป็นกระดูกสันหลังของการพัฒนานักฟุตบอลญี่ปุ่นมาตลอด ก็เข้มแข็งและได้รับการยอมรับมากขึ้น จนส่งออกนักฟุตบอลไปค้าแข้งในยุโรปได้เป็นจำนวนมาก
โดยมีตัวอย่างชัดเจนล่าสุด คือ คาโอรุ มิโตมะ ที่ย้ายจาก Kawasaki Frantale ในญี่ปุ่น ไปโชว์ฟอร์มร้อนแรงให้กับ Brighton and Hove Albion ในศึกพรีเมียร์ลีกอังกฤษ
ที่มา: https://www.eurosport.com
พอเราเห็นแผนงานที่ชัดเจนและจริงจังแบบนี้ พี่ทุยว่าหลายคนคงเลิกสงสัยกันแล้ว ว่าทำไมผลงานของทีมชาติญี่ปุ่นถึงได้โดดเด่นและเป็นความภูมิใจของคนเอเชียได้ขนาดนี้
หวังว่าแผนงานของญี่ปุ่นนี้ น่าจะสร้างแรงบันดาลใจอะไรบางอย่างให้กับทีมชาติไทย และสมาคมฟุตบอลไทยได้พัฒนาเพื่อก้าวไประดับโลกกับเขาบ้าง
อ่านเพิ่ม