ประเด็นรัสเซียบุกยูเครนกำลังอยู่ในความสนใจของทั่วโลก เพราะดีกรีความดุเดือดในขณะนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสนามรบเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมไปถึงสมรภูมิทางเศรษฐกิจอีกด้วย ซึ่งตอนนี้ “เศรษฐกิจรัสเซีย” กำลังโดนรุมจัดการจากทุกทิศทางเลยทีเดียว
รัฐบาลกลุ่มชาติตะวันตกและชาติพันธมิตรต่างโหมกระหน่ำมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจเข้าใส่รัสเซียอย่างไม่หยุดยั้ง ไล่เรียงไปตั้งแต่การงดขายเทคโนโลยีขั้นสูง การแบนธนาคารหลายรายของรัสเซียออกจากระบบการเงินระหว่างประเทศ การอายัดทรัพย์สินของผู้นำและผู้ใกล้ชิดกับรัฐบาลรัฐเซีย และการห้ามสายการบินรัสเซียเข้าออกประเทศ
ขณะที่รัฐบาลรัฐเซียได้ตอบโต้กลับเช่นกัน อาทิ การห้ามโบรกเกอร์ชาวรัสเซียขายหลักทรัพย์ต่างชาติให้แก่ผู้ถือหุ้นต่างชาติ ไปจนถึงการห้ามสายการบินของกลุ่มชาติตะวันตกจาก 36 ประเทศ อาทิ สหราชอาณาจักร บัลแกเลีย โปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก และแคนนาดา บินเข้ามาในน่านฟ้าของรัสเซีย
พร้อมกันนี้ ผู้นำรัสเซียยังออกมาประกาศกร้าวว่า การใช้มาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจต่อรัสเซียก็ไม่ต่างอะไรกับการประกาศตัวเป็นศัตรูกับรัสเซีย
ภาคธุรกิจส่งสัญญาณละทิ้งรัสเซีย
แม้ในขณะนี้รัสเซียดูจะเป็นต่อในสมรภูมิสงครามจากการที่ชาติพันธมิตรตะวันตก โดยเฉพาะกองกำลังป้องกันสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ยังไม่กล้าเข้าไปเอี่ยวเต็มตัว แต่พี่ทุยคิดว่าในสมรภูมิทางเศรษฐกิจกลับดูจะเพลี่ยงพล้ำอยู่ไม่น้อย
เนื่องจากธุรกิจยักษ์ใหญ่ต่างเริ่มทยอยถอนการลงทุนออกจากดินแดนหมีขาวกันแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจพลังงานที่ล่าสุดบริษัท ExxonMobil บริษัท BP และบริษัท Shell ต่างประกาศล้มเลิกโครงการลงทุนของตนเองในรัสเซียกันแล้ว
เฉพาะแค่ดีลของบริษัท BP ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่จากอังกฤษที่ได้ถอนตัวออกจากโครงการลงทุนร่วมกับบริษัท Rosneft รัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ด้านพลังงานของรัสเซียนั้นมูลค่าสูงถึง 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 4.6 แสนล้านบาท)
อย่างไรก็ดี บางธุรกิจอาจยังไม่ไปไกลถึงขั้นประกาศถอนการลงทุนออกไป แต่ก็เริ่มส่งสัญญาณเตือนแรง ๆ ไปยังรัฐบาลรัสเซียแล้วเช่นกันว่าไม่ขอเอาด้วยกับการก่อสงครามเช่นนี้
อาทิ บริษัท Visa และบริษัท Mastercard ผู้ให้บริการเครือข่ายบัตรเครดิตและบัตรเอทีเอ็มรายใหญ่ของโลกได้ระงับการให้บริการแก่ลูกค้าในรัสเซีย รวมถึงการใช้บัตรเครดิตของชาวรัสเซียในต่างประเทศ
ขณะที่บริษัท IKEA ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ชื่อดังจากสวีเดน ได้ปิดร้านค้าทั้ง 17 แห่งในรัสเซีย และยุติการนำเข้าและส่งออกสินค้าไปยังรัสเซียในทันที
ส่วนบริษัท Apple ผู้ผลิตมือถือสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์เทคโนโลยีชื่อดังจากสหรัฐฯ ประกาศหยุดจำหน่ายไอโฟนและอุปกรณ์อื่นในตลาดรัสเซีย
แม้ว่าตลาดรัสเซียจะมีศักยภาพในการเติบโตที่สูง โดยมีมูลค่าการตลาดเป็นอันดับ 5 ของทวีปยุโรปที่ 3.37 แสนล้านปอนด์ (ราว 14 ล้านล้านบาท) แต่ในนาทีนี้คงไม่อยากมีธุรกิจไหนเอาตัวเองไปข้องแวะมาก
เพราะนอกจากจะเผชิญกับความยากลำบากของระบบการชำระเงินและค่าเงินรูเบิลที่เป็นผลมาจากการโดนมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจแล้ว ยังเสี่ยงกับการเสียชื่อเสียงของบริษัทจากการที่ไม่แสดงความรับผิดชอบและห่วงใยกระแสสังคม
สรุปมาตรการบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ต่อรัสเซีย
ผลกระทบ “เศรษฐกิจรัสเซีย”
แน่นอนว่าความเคลื่อนไหวดังกล่าวย่อมส่งผลในทางลบต่อรัสเซียแน่นอน เพราะว่าเอาเข้าจริงแล้วเศรษฐกิจรัสเซียยังพึ่งพาเม็ดเงินลงทุนต่างชาติอยู่มาก โดยเฉพาะในภาคพลังงานยังต้องพึ่งพาความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและองค์ความรู้การขุดเจาะและสำรวจพลังงานน้ำมันและก๊าซจากต่างชาติมาใช้อยู่ไม่น้อย
ดังนั้นในระยะยาวย่อมส่งผลต่อศักยภาพของรัสเซียในการผลิตพลังงานเพื่อออกมาจำหน่ายในตลาดโลก ซึ่งปัจจุบันภาคพลังงานคิดเป็น 60% ของรายได้จาการส่งออกของรัสเซีย และคิดเป็น 30% ของรายได้ของรัฐบาล
นอกจากนี้ การแห่ย้ายหนีออกจากรัสเซียและยุติการดำเนินธุรกิจดังกล่าวจะยิ่งทำให้ค่าเงินรูเบิลของรัสเซียอ่อนค่าลงไปอีก ซึ่งอาจลุกลามถึงขั้นทำให้ค่าเงินรูเบิลพังพินาศกันเลยทีเดียว เนื่องจากปริมาณการถือรองเงินดอลลาร์ในประเทศตนเองจะลดน้อยถอยลงไป
ดังนั้น หากรัสเซียยังคงดึงดันที่จะทำสงครามต่อไป รับรองได้ว่าเศรษฐกิจรัสเซียถึงความหายนะแน่นอน
อ่านเพิ่ม