จากการจัดอันดับแฟรนไชส์ทั่วโลกของเว็บไซต์ franchisedirect.com มีแฟรนไชส์สัญชาติอเมริกันถึง 18 จาก 20 อันดับแรก ส่วนอีก 2 แฟรนไชส์ที่เหลือคือ เชนโรงแรมสัญชาติอังกฤษ อย่าง InterContinental และโรงเรียนสอนพิเศษสัญชาติญี่ปุ่นอย่าง “KUMON” ที่รั้งอยู่ในอันดับ 20
แฟรนไชส์ส่วนมากที่ประสบความสำเร็จทั่วโลกมักจะอยู่ในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม แต่ทำไมธุรกิจการศึกษาอย่าง KUMON ถึงประสบความสำเร็จได้ในระดับโลกอย่างทุกวันนี้ พี่ทุยจะมาไขข้อสงสัยนี้ให้เพื่อน ๆ ได้รู้กัน
มีจุดเริ่มต้นในปี 1958 จากการก่อตั้งโดย Toru Kumon เปิดสาขาแรกที่เมืองโมริกุชิ ในโอซาก้า เดิมทีเขามีอาชีพเป็นอาจารย์สอนที่โรงเรียนมัธยมภายในเมือง ก่อนที่เขาจะได้แรงบันดาลใจในการเปิดโรงเรียนสอนพิเศษ KUMON ในระหว่างที่พัฒนาแนวทางการเรียนโดยเน้นความจำให้กับลูกชายของเขา
ในช่วง 16 ปีแรกก็ยังไม่ได้เติบโตโดดเด่นอะไร โดยมีนักเรียนรวมกันประมาณ 63,000 คนเท่านั้น เฉลี่ยประมาณ 3,900 คนต่อปี แต่ในปี 1974 ได้ตีพิมพ์หนังสือชื่อ The Secret of Kumon Math ทำให้จำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวภายใน 2 ปี และในปี 1983 ก็ได้เปิดสาขาแรกของโรงเรียนในสหรัฐฯ ซึ่งช่วยหนุนให้จำนวนนักเรียนทั้งหมดเพิ่มขึ้นเป็น 1.4 ล้านคน ในปี 1985
34 ปีถัดมา สาขาก็เริ่มขยายไปทั่วโลก ขยายขึ้นเป็น 24,800 แห่ง โดยกระจายอยู่ในญี่ปุ่น 16,200 แห่ง และอยู่ในประเทศอื่น ๆ อีก 56 ประเทศ รวม 8,600 แห่ง ส่วนในประเทศไทยนั้นมีอยู่เกือบ ๆ 500 แห่ง และมีจำนวนนักเรียนทั่วโลก 4.2 ล้านคน แบ่งเป็นในญี่ปุ่น 1.57 ล้านคน และในประเทศอื่น ๆ รวม 2.62 ล้านคน อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาผลประกอบการในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา จะเห็นว่าการเติบโตค่อนข้างจะจำกัด โดยรายได้เติบโตเฉลี่ยเพียง 0.7% ขณะที่กำไรจากการดำเนินงานเติบโตเฉลี่ย 6.75%
ปี 2015 มีรายได้ 90,456 ล้านเยน มีกำไรจากการดำเนินงาน 10,187 ล้านเยน
ปี 2016 มีรายได้ 90,043 ล้านเยน มีกำไรจากการดำเนินงาน 11,831 ล้านเยน
ปี 2017 มีรายได้ 90,590 ล้านเยน มีกำไรจากการดำเนินงาน 12,547 ล้านเยน
ปี 2018 มีรายได้ 93,159 ล้านเยน มีกำไรจากการดำเนินงาน 13,190 ล้านเยน
ปี 2019 มีรายได้ 93,011 ล้านเยน มีกำไรจากการดำเนินงาน 13,228 ล้านเยน
ด้วยพฤติกรรมของการเรียนที่ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ต้องเผชิญกับความท้าทายที่ว่า “การซื้อแฟรนไชส์ของ KUMON เป็นสิ่งที่คุ้มค่าหรือไม่ในยุคนี้ ?” ก่อนจะตอบคำถามนี้ เชื่อว่าผู้ที่สนใจจะลงทุนเปิดโรงเรียนสอนพิเศษแห่งนี้ก็คงจะต้องพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ อย่างรอบคอบก่อนจะตัดสินใจลงทุน
หนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบกันขึ้นมา คือ รูปแบบการเรียนรู้ที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งแม้แต่สาส์นจากประธานคนปัจจุบัน คือ Hidenori Ikegami ก็ยอมรับว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความท้าทายที่ต้องพยายามปรับตัวตามไปด้วย เพราะการเรียนรู้ในปัจจุบันไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำ หรือนั่งอยู่ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป รวมถึงการคุกคามจากเทคโนโลยี ทำให้การศึกษาในเรื่องต่าง ๆ ทุกวันนี้สามารถทำได้ผ่านทางออนไลน์แทบทั้งสิ้น ซึ่งไม่เพียงแต่จะให้ความสะดวกสบายที่มากขึ้นกับนักเรียน แต่ยังช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ปกครองบางส่วนที่ต้องทำหน้าที่รับส่งอีกด้วย ขณะเดียวกันต้นทุนของผู้เรียนในการเรียนออนไลน์ก็ดูเหมือนจะถูกกว่าเช่นกัน
ปัจจัยเหล่านี้กดดันให้จำนวนผู้สมัครเรียนเมื่อเดือน ธันวาคม ปี 2018 ของบริษัทลดต่ำลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ถือเป็นการลดลงครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มีนาคม 2015 ผลที่เกิดขึ้นทำให้ต้องพยายามที่จะกลับมาเติบโตให้ได้อีกครั้ง โดยเฉพาะในประเทศญี่ปุ่น โดยบริษัทเริ่มออกนโยบายให้ทดลองเรียนฟรี ขณะเดียวกันนั้นก็พยายามโฟกัสผลลัพธ์ทางอ้อมที่จะเกิดขึ้นนอกเหนือจากการแค่ให้ความรู้ตามตำรามากขึ้น ผ่านการทำกิจกรรมเสริมทักษะในด้านต่าง ๆ
พวกเขาเชื่อว่า There is never good enough, there must always be something better. ซึ่งก็คงจะต้องติดตามดูกันว่า ในยุคที่การศึกษาหาความรู้เริ่มเปลี่ยนรูปแบบไป KUMON จะสามารถนำเสนอแนวทางการเรียนรู้ที่ดีขึ้นให้กับนักเรียนทั่วโลก อย่างที่เคยทำได้มาแล้วเมื่อ 60 ปีก่อนหรือไม่
รูปล่าง ของ mobile
Comment