เมื่ออำนาจการผลิต "เงิน" ใหม่ ไม่ได้อยู่แค่ธนาคารกลางอีกต่อไป

เมื่ออำนาจการผลิต “เงิน” ใหม่ ไม่ได้อยู่แค่ธนาคารกลางอีกต่อไป

   Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • ครั้งหนึ่งเงินดอลล่าร์เคยสถาปนาตนเป็นเงินสกุลหลักของโลกสำเร็จ ก่อนที่สงครามเวียดนามจะทำให้เกิด “นิกสัน ช็อค” เหตุการณ์ที่สหรัฐฯประกาศยกเลิกการนำเงินดอลล่าร์มาแลกทองคำ
  • ระบบ Blockchain ของ Bitcoin ทำให้คนที่มีอำนาจผลิต Bitcoin ใหม่ ไม่ใช่ธนาคารกลางอีกต่อไป แต่เป็นเครือข่ายคนที่อาสานำทรัพยากรคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยบันทึกธุรกรรมของคนใช้ทั้งหมด และว่ากันว่า Bitcoin ไม่สามารถถูกปลอมแปลงได้
  • Steemit ระบบสื่อสังคมออนไลน์ที่ผลิตเงินใหม่ให้เป็นรางวัลแก่คนใช้ ทำให้การปฏิสัมพันธ์ของพวกเราบนโลกออนไลน์มีมูลค่าขึ้นมาจริง ๆ และสามารถเปลี่ยนมันออกมาเป็นเงินทั่ว ๆ ไป อย่างดอลล่าร์ หรือว่าบาทได้


รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

สำหรับบทความนี้พี่ทุยจะพาไปทำความเข้าใจระบบเงินของโลกในช่วงที่ผ่านมาสักหน่อย เพื่อเข้าใจสิ่งที่หลายคนยกให้เป็นอนาคตที่พี่ทุยจะพูดถึงต่อไป ในปัจจุบันต้องยอมรับว่าประเทศสหรัฐอเมริกาถือว่ามีอิทธิพลต่อชีวิตของคนพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นหนัง Hollywood วงการเพลง หรือเทคโนโลยีอย่างเฟซบุ๊ก ยูทูป กูเกิ้ล และแน่นอนว่า “เงินดอลล่าร์” ก็มีอิทธิพลไม่แพ้กัน แล้วทำไมมันถึงเป็นแบบนั้น พี่ทุยจะมาเล่าให้ฟังกัน

กำเนิดธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา จนกระทั่งดอลล่าร์กลายเป็น “เงิน” สกุลหลักของโลก

พี่ทุยขอย้อนกลับไปเริ่มจากตอนที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือที่คุ้นชื่อว่า FED เนี้ยแหละ FED ได้ถูกก่อตั้งขึ้นในวันที่ 23 ธันวาคม ค.ศ. 1913 เพื่อดูแลนโยบายทางการเงินของประเทศ โดยการควบคุมอัตราดอกเบี้ยพื้นฐานให้อยู่ในระดับที่พอเหมาะอยู่เสมอ เพื่อให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพ คอยควบคุมไม่ให้เกิดวิกฤตทางการเงินขึ้น

ต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ.1914 – 1918 ภูมิภาคยุโรปเรียกได้ว่าเจ็บหนักจากการทำสงครามและต้องการการฟื้นฟูประเทศอย่างเร่งด่วน จึงทำให้สหรัฐฯได้รับผลประโยชน์ไปเต็มๆในการปล่อยกู้เงินและผลิตสินค้าป้อนสู่ยุโรป ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯเติบโตอย่างมาก เป็นจุดเริ่มต้นก่อนที่อเมริกาจะกลายเป็นผู้นำโลกโดยสมบูรณ์ โดยผู้แพ้สงครามอย่างเยอรมนีโดนขูดรีดค่าปฏิกรรมสงครามอย่างหนักทำให้เป็นสาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 2

ในสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นโดยพรรคนาซีเยอรมนีที่ชูอุดมการณ์ชาติพันธุ์นิยม และประกาศจะเรียกคืนศักดิ์ศรีของชาวเยอรมัน ในปี ค.ศ. 1939-1945 ซึ่งผลก็เป็นอย่างที่เรารู้กันเยอรมันแพ้สงคามอีกครั้ง นำความพินาศย่อยยับยิ่งกว่าบนภูมิภาคยุโรปที่หนักกว่าสงครามโลกครั้งที่ 1 ซะอีก ทำให้ในปี 1944 ประเทศมหาอำนาจนำโดยอเมริกาและอังกฤษจัดการประชุมเพื่อจัดระเบียบระบบการเงินโลกขึ้นใหม่ เพื่อทำให้เศรษฐกิจโลกมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น เรียกว่า “ระบบเบร็นทอน วูด (Bretton Woods System)” ซึ่งมีใจความสำคัญคือ

  • สกุลเงินของประเทศสมาชิกต้องกำหนดค่าตายตัวว่ามีค่าเท่าไหร่เมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์ เช่น 25 บาท จะสามารถแลกได้ 1 ดอลล่าร์ เป็นต้น
  • เงิน 35 ดอลล่าร์ มีค่าเท่ากับทองคำบริสุทธิ์ 1 ออนซ์ เนื่องจากทองคำของประเทศมหาอำนาจยุโรปถูกใช้จ่ายเพื่อซื้ออาวุธในการทำสงคราม ทำให้อเมริกามีทองคำในครอบครองมากที่สุดในโลก
  • อเมริกาจะรับแลกทองคำกับเงินดอลล่าร์อย่างไม่จำกัดจำนวนกับประเทศสมาชิก ส่งผลทำให้การถือเงินดอลล่าร์ไว้ เท่ากับการถือทองคำ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในเงินดอลล่าร์

นอกจากนั้นองค์กรการเงินอย่าง IMF และ World Bank ก็ถือกำเนิดในการประชุมครั้งนี้ และทั้งสององค์กรก็มีสำนักงานใหญ่อยู่ในอเมริกา IMF จะปล่อยกู้เงินก็ต้องได้รับการเซ็นต์จากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ แถมประธานของ World Bank ก็ถูกกำหนดให้ต้องเป็นคนอเมริกันเท่านั้น ความบอบช้ำพังพินาศในยุโรปครั้งนี้ทำให้อเมริกากลายเป็นรัฐที่มั่งคั่งที่สุดในโลกโดยสมบูรณ์ และกลายเป็นประเทศผู้ผลิต 45% ของผลผลิตทั่วโลก

หลังจากนั้นในช่วงสงครามเวียดนาม รัฐบาลสหรัฐฯมีการสั่งพิมพ์เงินดอลล่าร์ออกมามหาศาลเพื่อใช้จ่ายในการทำสงคราม จนนำไปสู่ เหตุการณ์ “นิกสัน ช็อค” ในปี 1971 เหตุการณ์ที่สหรัฐประกาศยกเลิกการนำเงินดอลล่าร์มาแลกทองคำ หรือเป็นสิ่งที่ ณ ปัจจุบันเรารู้อยู่กันว่าสหรัฐฯเค้าสามารถพิมพ์เงินออกมาใช้เท่าไหร่ก็ได้เหตุก็มาจากสงครามเวียดนามครั้งนั้นเนี้ยแหละ เพราะมีการประมาณกันว่าเงินดอลล่าร์ถูกพิมพ์ออกมามีมูลค่าเท่ากับทองคำถึง 30,000 ตัน ทั้งที่จริงสหรัฐฯมีทองคำแค่ 6,000 ตันเท่านั้น ถือเป็นเหตุการณ์ที่ตกย้ำบารมีของสหรัฐฯมากขึ้นไปอีก แต่ทุกประเทศก็ไม่สามารถทำอะไรได้ จะไปส่งกองกำลังทหารไปรบก็ทำไม่ได้ เพราะกองทัพสหรัฐฯในยุคนั้นถือว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้เงินทุกสกุลบนโลกไม่ได้มีทองคำหนุนหลังอีกต่อไป แต่มีเงินดอลล่าร์มาหนุนหลังแทน

ปัญหาการถูกควบคุมโดยธนาคารกลางและรัฐบาล (สหรัฐฯ)

หลังจากวิกฤตการณ์ซับไพร์ม ธนาคารพาณิชย์พากันล้มไปตามๆกัน เศรษฐกิจชะลอตัวอย่างรุนแรง รัฐบาลจึงสั่งธนาคารกลางให้พิมพ์เงินดอลล่าร์ออกมามหาศาล เพื่อช่วยอุ้มธนาคารพาณิชย์ทั้งหลาย ไม่ให้ล้ม และเพื่อกระตุ้นให้เศรษฐกิจกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว ซึ่งฟังดูเผินๆ ก็ดูจะเป็นการแก้ปัญหาที่ดี

แต่ทุกครั้งที่มีการสั่งให้พิมพ์เงินนั้น มันคือการเพิ่มหนี้สาธารณะ และกรรมนั้นก็ตกไปอยู่ที่ประชาชนผู้จ่ายภาษี ส่วนคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างรัฐบาลหรือธนาคารที่ก่อวิกฤตนั้น ก็รอดตัวไปแบบชิวๆ แถมบางกลุ่มธนาคารใหญ่ยังได้เงินปันผลจากการถือหุ้นธนาคารกลางสหรัฐฯ อีกด้วย

จุดเริ่มต้นของ Bitcoin

หลังจากวิกฤตซับไพร์มหรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ จากนั้นสิ่งทีเรียกว่า “Bitcoin” ถูกคิดค้นขึ้นมาหลังจากการล้มของเลห์แมนประมาณ 1 เดือนโดยบุคคลที่ใช้นามแฝงว่า “ซาโตชิ นากาโมโต (Satoshi Nakamoto)” พี่ทุยคิดว่าเค้าน่าจะตั้งคำถามกับระบบการเงิน ระบบธนาคารนั้นแหละ เลยอยากหาสื่อกลางใหม่ที่ไม่มีใครควบคุมทุกคนเป็นเข้าของร่วมกัน ไม่มีใครสามารถสร้างอะไรเท่าไหร่ก็ได้ให้เป็นไปตามระบบตามกลไลจริงๆ และถ้าเราเป็นเจ้าของร่วมกันค่าธรรมเนียมต่างๆก็แบ่งกันเองในระบบนั้นๆและจ่ายถูกกว่า ณ ปัจจุบันอย่างมาก

ซึ่งด้วยคุณสมบัติของ Bitcoin ประกอบกับระบบของ Blockchain คือ ข้อมูลธุรกรรมทั้งหมดถูกบันทึกและเก็บไว้บนบัญชีสาธารณะ (ที่เรียกว่า Blockchain) โดยในเครือข่ายของ Bitcoin นั้นข้อมูลจะถูกกระจายไปสู่เครื่องคอมพิวเตอร์นับล้านเครื่อง และถูกอัพเดทตลอดเวลาเมื่อมีการทำธุรกรรมใหม่ ทำให้การแฮกหรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลธุรกรรมในภายหลังเป็นไปได้ยากมากหรือในทางคณิตศาสตร์แวความน่าจะเป็นเท่ากับ 0 เลยทีเดียว(ส่วนใหญ่ที่ได้ข่าวว่าโดนแฮ๊ก ถูกแฮ๊กที่กระเป๋าเงินของเราไม่ใช่ที่ตัว Bitcoin)

ปัญหาเงินเฟ้อหรือการเสื่อมของค่าเงินที่เป็นจุดเริ่มต้นของ Hyperinflation

หลายคนน่าจะเคยได้ยินเรื่องเงินเฟ้อ (Hyperinflation) ใน ซิมบับเว และ เวเนซุเอลา ที่เกิดขึ้นจากการบริหารผิดพลาดของรัฐบาลและธนาคารกลางที่ผลิตเงินป้อนเข้าสู่ระบบมากเกินไป ทำให้เงินสูญค่าอย่างรวดเร็ว ให้นึกภาพคนทำงานเก็บเงินมาทั้งชีวิต แล้วเกษียณตอนที่มูลค่าของเงินเก็บทั้งชีวิตนั้น “ซื้อข้าวได้จานเดียว” กรณีดังกล่าวเป็นตัวอย่างความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ของระบบแบบรวมศูนย์ ซึ่งไม่ต่างจากที่สหรัฐฯพิมพ์เงินเข้าระบบอย่างต่อเนื่องจากนโยบาย QE หลายๆคนก็เริ่มสงสัยว่า “สกุลเงินดอลล่าร์” จะไปจบแบบซิมบับเวหรือเวเนซุเอลาหรือไม่ แล้วยิ่งไม่มีต้องใช้ทองคำหนุนหลังทำให้ประเด็นตรงนี้ยิ่งถูกจับตามองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

Bitcoin ไม่มีรัฐบาล หรือ ธนาคารใด มีอำนาจอยู่เหนือมัน ไม่มีใครสามารถปิด หรือแทรกแซงมันได้ และวิกฤตในซิมบับเว และเวเนซุเอลา ทำให้ Bitcoin ได้พิสูจน์ศักยภาพของมันอีกด้วย เพราะมีคนมากมายที่หันมาใช้ Bitcoin เนื่องจากสกุลเงินของประเทศตนเองนั้น ไม่เหลือค่าและความน่าเชื่อถืออีกต่อไป

ซึ่ง Bitcoin แก้ปัญหานี้โดยการกำหนดให้มีความยากในการผลิตเงินที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ปัญหาเงินเฟ้อจากการพิมพ์เงินไม่สามารถเกิดขึ้นได้ รวมถึงเงื่อนไขในการสร้าง Bitcoin ใหม่ คือการเปิดโอกาสให้ “ใครก็ได้ทั่วโลก” สามารถเป็นคนผลิต Bitcoin  ใหม่ โดยการอาสานำทรัพยากรคอมพิวเตอร์มาช่วยในการบันทึกและยืนยันธุรกรรมในเครือข่ายและรับ Bitcoin ใหม่เมื่อทำสำเร็จ ทำให้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่อำนาจการผลิตเงิน ไม่ได้ถูกสงวนไว้ให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอีกต่อไป ด้วยแรงจูงใจดังกล่าวทำให้มีคอมพิวเตอร์เป็นล้านๆเครื่องทั่วโลก คอยบันทึกและอัพเดทข้อมูลอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ไม่มีใครสามารถปลอมแปลง Bitcoin ขึ้นมาได้อีกด้วย

Steemit สื่อสังคมออนไลน์บนบล็อกเชน : ระบบนิเวศที่ทำให้การปฏิสัมพันธ์กันของคนเป็นการผลิตเงิน

มาถึงไฮไลท์ของเรา ในเมื่อซาโตชิเขียนโค้ดสร้างเงื่อนไขใหม่แก่โลกการเงิน ให้อำนาจการผลิตเงินใหม่ถูกกระจายไปสู่คนทั่วไปได้ แล้วทำไมเราจะสร้างเงื่อนไขใหม่ๆ ในแบบอื่นๆ ไม่ได้ล่ะ  พี่ทุยขอแนะนำให้รู้จักกับ “Steemit” สื่อสังคมออนไลน์เจ้าแรกที่สร้างอยู่บน Blockchain เปิดให้บริการมาตั้งแต่ มิถุนายน 2016 และได้ผลิตเงินเป็นรางวัลแก่คนใช้เป็นมูลค่ากว่า 40 ล้านดอลล่าร์แล้ว

เมื่ออำนาจการผลิต "เงิน" ใหม่ ไม่ได้อยู่แค่ธนาคารกลางอีกต่อไป

หน้าตาของ Steemit

ปัญหาและความไม่แฟร์ของโซเชียลมีเดียที่มีอยู่

หากเรามองระบบการทำงานของโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊กหรือยูทูป ซึ่งมีรายได้จากการขายพื้นที่โฆษณา ซึ่งพวกเค้าอาศัยคนใช้มากมายมาสร้างเนื้อหาต่างๆ ให้แก่ระบบ หรือ อาศัยคนใช้ คนดูเนื้อหามากมาย ใช้ดวงตาพวกเค้าเป็นพื้นที่ ป้อนโฆษณาต่างๆ จากลูกค้าที่จ่ายเงินให้แก่เฟซบุ๊กและยูทูป โดยพวกเค้าแบ่งรายได้บางส่วนให้แก่นักสร้างเนื้อหาบ้าง แต่ตัวเฟสบุ๊กหรือยูทูป ก็เป็นคนที่ได้เค้กชิ้นใหญ่ที่สุดไปอยู่ดี จนติด 5 อันดับบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก

แต่คนดู คนไลค์ คนแชร์ คนที่เอาดวงตา มานั่งมองโฆษณาเหล่านั้น กลับไม่ได้ส่วนแบ่งใดๆเลย ทั้งๆที่หากมองในมุมกลับ เฟสบุ๊ก กับ ยูทูป ต่างหากที่อยู่ได้เพราะคนเหล่านี้ พูดแล้วก็จะร้องไห้ หลายครั้งพี่ทุยก็เป็นหนึ่งในคนดูตาดำๆ เหล่านั้นเหมือนกัน

โดยแนวคิดของตัวระบบ คือ การทำให้การปฏิสัมพันธ์ การโพสต์ การคอมเมนท์ ของพวกเรามีมูลค่าขึ้นมา และสามารถแลกเปลี่ยนมันออกมาเป็นเงินสกุลทั่วๆ ไป อย่างเงินดอลล่าร์ หรือ เงินบาทได้

โดยในระบบจะมีส่วนประกอบสำคัญ 3 อย่าง

  1. Steem คือ Cryptocurrency สกุลหนึ่ง (เหมือนกับ Bitcoin) เราสามารถซื้อขายได้ทั่วไป โดยจำนวน Steem ในตลาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ทุก 1 ปี ทำให้มูลค่าของมันจะลดลงในระยะยาว เพราะหน้าที่ของมันไม่ใช่การกักเก็บมูลค่าแบบ Bitcoin แต่คือ การเป็นตัวเชื่อม Steem Dollars (อธิบายต่อในข้อที่ 2) ไปสู่เงินทั่วไปอีกที
  2. Steem Dollars คือ สิ่งที่ทุกคนจะได้จากการเขียนโพสต์หรือคอมเมนท์ แล้วมีคนมาถูกใจกด Up Vote (เหมือนกด like ในเฟซบุ๊ก) ให้เรา ซึ่งมันถูกกำหนดให้มีค่าเท่ากับ 1 ดอลล่าร์สหรัฐเสมอ โดยเมื่อเราต้องการจะเอาเงินออก มันจะต้องถูกเปลี่ยนเป็น Steem ก่อนเท่านั้น ซึ่งเป็นทางเดียวที่เปลี่ยนมันไปสู่เงินทั่วไปได้
  3. Steem Power คือ สิ่งที่ทุกคนจะได้จากการเขียนโพสต์หรือคอมเมนท์ แล้วมีคนมาถูกใจกด Up Vote ให้เราเช่นกัน แต่มันจะเป็นตัวบ่งบอกมูลค่าในการกด Up Vote ของเราด้วย ยิ่งเรามีมันเยอะ การกด Up Vote ของเราก็จะยิ่งมีมูลค่าเยอะ

ระบบเอา “เงิน” จากไหนมาจ่ายเรา ?

พี่ทุยอธิบายแบบนี้ Bitcoin กำหนดให้การสร้างบิทคอยน์ใหม่นั้นเกิดขึ้นทุก 10 นาที เพื่อเป็นรางวัลแก่คนที่เอาทรัพยากรคอมพิวเตอร์มาช่วยยืนยันและบันทึกข้อมูลธุรกรรมในระบบ

เจ้าระบบ Steemit นี่ก็คล้ายกัน เพียงแต่เปลี่ยนเงื่อนไขกลายเป็น เมื่อมีคนถูกใจกด Up Vote ให้โพสต์หรือคอมเมนท์ เมื่อนั้นระบบจะสร้าง Steem Dollars และ Steem Power ขึ้นมาใหม่ และมอบให้แก่เจ้าของโพสต์หรือคอมเมนท์

เมื่อ เราโพสต์ –> มีคนถูกใจ –> กด Up Vote –> เราได้รับ Steem Dollars และ Steem Power ที่เกิดใหม่

ในเครือข่าย Steem Blockchain นั้น ยังมีแอพพลิเคชั่นและสื่อโซเชียลในแบบอื่นๆ อีกมากมาย เช่น

  • DTube แพลทฟอร์มสำหรับ Video แบบ Youtube
  • DLive คล้ายๆ Twitch ที่เค้าใช้แคสเกมกัน
  • SteepShot ที่คล้ายอินตราแกรม เป็นต้น

ซึ่งทั้งหมดนี้ก็มีกลไกที่คล้ายคลึงกันกับ Steemit แต่ทั้งหมดนี้ก็พึ่งมีอายุเพียง 2 ปีเท่านั้น มันยังคงต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป เช่นเดียวกับ Bitcoin

สรุป

สำหรับทั้งหมดนี้ที่พี่ทุยเล่า ก็คงทำให้หลายคนเห็นความเป็นไปได้ใหม่ๆมากมายที่กำลังจะเกิดขึ้นกับสังคมมนุษย์ และระบบการเงินโลก บล็อกเชนทำให้ปัจเจกชนมีอำนาจ มีคุณค่าขึ้นมาอย่างจับต้องได้แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน และในทางนึงเทคโนโลยีอย่างบล็อกเชน จะเป็นปัจจัยสำคัญในการแปลงเปลี่ยนโลกของเราให้เท่าเทียม และเป็นประชาธิปไตยมากยิ่งขึ้น พี่ทุยเชื่อว่าโลกมนุษย์เรากำลังขับเคลื่อนไปสู่วันข้างหน้าที่ดีกว่าเสมอ

แต่ถ้าถามพี่ทุยว่าระบบการเงินแบบเก่าจะหายไปจากโลกใบนี้เลยมั้ย ? พี่ทุยก็คงตอบว่าไม่ แต่สกุลดิจิตอลจะเข้ามาเป็นทางเลือกให้เราซะมากกว่า เพราะในบางช่วงบางตอนการปล่อยให้ระบบทำงานอย่างเสรีโดยไม่มีใครควบคุมเลยก็ใช้ว่าจะดีเหมือนกัน

อ้างอิง

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile