ถ้าหาก “iPhone” ถือเป็นแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ที่โค่นผู้นำวงการมือถือคนเดิมและเปลี่ยนโลกเข้าสู่ยุคสมาร์ทโฟนแล้ว พี่ทุยก็ขอมอบฉายาทานอสแห่งวงการ Entertainment ให้กับ “Netflix” ที่เปลี่ยนโลกการดูหนังผ่านทีวี วีดีโอหรือวีซีดีให้กลายเป็นการดูหนังผ่านบริการสตรีมมิ่งแทน
เรื่องราวจุดเริ่มต้นของ “Netflix” ที่เหมือนนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า
ถ้าใครเป็นเด็กยุค 90’ เหมือนพี่ทุยคงจำกันได้ว่าเวลาไปที่ไหน โดยเฉพาะย่านชุมชน เรามักเห็นร้านเช่าวีดีโออยู่เสมอ ต่อมาเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป จากวีดีโอม้วนหนาก็บางลงเหลือความหนาแค่แผ่นกระดาษอย่างวีซีดี และสุดท้ายก็เปลี่ยนรูปแบบจากสิ่งที่จับต้องได้เป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้อย่างบริการสตรีมมิ่ง
ในช่วงก่อนปี 2000 ร้านเช่าวีดีโอที่มีชื่อว่า “Blockbuster” นั้นโด่งดังมากจนมีจำนวนสาขามากมายกว่า 9,400 สาขาทั่วอเมริกา ถ้าใครเคยสังเกตจะเคยเห็นร้านนี้ปรากฏเป็นฉากในหนังดังหลายเรื่อง เช่น ในหนังเรื่อง Captain Marvel นางเอกตกลงมาที่ร้าน Blockbuster สาขานึง แต่ปัจจุบันร้าน Blockbuster เหลืออยู่เพียงสาขาเดียวทั้งโลกที่รัฐโอราก้อน ประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้นและกลายเป็น Landmark ที่คนจะไปถ่ายรูปเป็นที่ระลึกถึงความรุ่งเรืองในอดีตมากกว่าจะไปเช่าวีซีดีมาดูด้วย
แต่รู้กันมั้ยว่าครั้งนึงตอนช่วงปี 2000 Blockbuster เคยติดต่อขอซื้อ เน็ตฟลิกซ์ ด้วยเงิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่สุดท้ายคุยกันไม่ลงตัวหรือยังไงก็ไม่รู้ เค้าก็เลยไม่ได้ดีลกัน ในตอนนั้น เน็ตฟลิกซ์ ยังดูร่อแร่ งบการเงินบริษัทขาดทุนมากจนตอนนั้น Blockbuster เคยออกมาพูดทำนองว่า เน็ตฟลิกซ์ ไม่ใช่คู่แข่งที่เค้าให้ความสำคัญ พูดง่าย ๆ คือ เค้ามองว่า เน็ตฟลิกซ์ เป็นม้านอกสายตานั่นแหละ แต่ในวันนี้ม้านอกสายตาที่ว่ากลับใช้ขาหลังดีด Blockbuster ซะแรงจนแทบหายไปจากแผนที่โลกเลย
พี่ทุยขอสรุปง่าย ๆ ว่าสาเหตุสำคัญที่เน็ตฟลิกซ์ก้าวเข้ามาเปลี่ยนโฉมโลกของการดูหนังได้นี้มาจากการที่เค้าสามารถจับ “ปัญหาหรืออุปสรรคของลูกค้า (Pain Point)” สำหรับร้านเช่าวีดีโอได้แล้ว สิ่งที่เป็น Pain point ของลูกค้าก็คือการต้องเสียค่าปรับเมื่อเช่าหนังไปเกินจำนวนวันที่กำหนดส่วน Netflix เริ่มต้นจากการให้จองวีดีโอแล้วส่งทางไปรษณีย์โดยไม่มีค่าปรับ หลังจากนั้นก็พัฒนามาเป็นระบบสตรีมมิ่งอย่างทุกวันนี้
ส่วน Blockbuster ที่ยึดติดกับความสำเร็จในอดีต ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงก็ถูก Disrupt ไปในที่สุด ในเมื่อโลกหมุนเร็วอย่างทุกวันนี้ ท่องไว้เสมอว่า “What got you here, won’t get you there” หรือ “สิ่งที่เคยทำให้เราประสบความสำเร็จได้อย่างทุกวันนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะพาเราไปได้ไกลเท่าเดิมในเส้นทางข้างหน้า”
สาเหตุที่ทำให้เน็ตฟลิกซ์ประสบความสำเร็จ
นอกจากจะสามารถตอบโจทย์เรื่องค่าปรับแล้ว สิ่งหนึ่งที่เน็ตฟลิกซ์โดดเด่นก็คือ ระบบปฏิบัติการของแอปพลิเคชันเค้าที่ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่ากำลังอยู่ในร้านวีดีโอของเรา ที่มีแต่หนังที่เราชอบ ด้วยการใช้การเก็บฐานข้อมูลของลูกค้า ว่ามีพฤติกรรมการดูหนังแบบไหนและนำเสนอ “หนังที่คุณน่าจะชอบ” เหมือนมีพนักงานร้านวีดีโอที่รู้ใจเราสุด ๆ มาคอยแนะนำอยู่ตลอดเวลา ใครจะไม่ชอบล่ะ จริงมั้ย? ปัจจุบันเค้ามีผู้ติดตาม (subscriber) อยู่ราว 150 ล้านคนทั่วโลก และคงเป็นสัจธรรมของโลกใบนี้ เมื่อ Netflix เป็นที่นิยมขนาดนี้ก็ย่อมดึงดูดคู่แข่งใหม่ ๆ ให้เข้ามาร่วมแข่งขันและคู่แข่งแต่ละรายก็มีไม้เด็ดมาตั้งใจเผด็จศึกซะด้วย
พี่ทุยขอเกริ่นก่อนว่า ก่อนหน้านี้ เน็ตฟลิกซ์ มีหนัง ซีรี่ย์ และสารคดีมากมายหลายค่ายเลย ทั้งหนังของค่าย Marvel เช่น Avengers, Guardians of the galaxy หรือหนังจากค่าย HBO เช่น ซีรี่ย์เรื่อง Friends เป็นต้น แต่พอค่ายต่าง ๆ จะเปิดสตรีมมิ่งของตัวเอง เค้าก็จะขอถอนหนังของค่ายตัวเองออกจากเน็ตฟลิกซ์
คู่เเข่งใหม่ของ เน็ตฟลิกซ์
จริง ๆ เน็ตฟลิกซ์ มีข้อดีมากมายอย่างที่พี่ทุยได้เล่าไปแล้วตอนแรก แต่เมื่อมีสตรีมมิ่งคู่แข่งตามมาเปิดแข่ง ข้อดีเหล่านั้นกลับกลายเป็นเพียงเเค่บรรทัดฐานที่สตรีมมิ่งน้องใหม่เหล่านั้นต้องมีเหมือนกันเป็นอย่างน้อย เช่น Original Series ซึ่งเป็นจุดเด่น แต่ทุกสตรีมมิ่งที่จะมาเป็นคู่แข่งใหม่ก็ต่างมี Original Series ของตัวเองทั้งนั้น
ราคาหุ้น NFLX ของ Netflix
และแล้วขาเตียงของ เน็ตฟลิกซ์ ถึงกลับสั่น เมื่อวันที่ 10 กันยายนที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ พร้อมกับบริการสตรีมมิ่งของตัวเองในชื่อ Apple TV+ มาดูผลกระทบที่มีต่อหุ้นของเค้ากัน
ราคาหุ้น NFLX ของเน็ตฟลิกซ์ลดลงจากวันก่อนหน้า 2.16% หลังจากการเปิดตัวสตรีมมิ่งคู่แข่ง ส่วนหุ้น AAPL ของ Apple เพิ่มขึ้น 1.18%
นอกจากคู่เเข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันอย่างบริการสตรีมมิ่งต่าง ๆ เเล้ว ก็ยังมีคู่แข่งอื่น ๆ นอกอุตสาหกรรมด้วย เช่น รองเท้ากีฬาอย่าง Nike เพราะยอดขายที่มากขึ้นของเค้าจะทำให้คนออกไปใช้เวลานอกบ้านมากกว่านั่งดูทีวี หรือแม้แต่สิ่งที่ไม่มีตัวตนอย่างความง่วง สรุปง่าย ๆ คือคู่เเข่งของ เน็ตฟลิกซ์ คือทุกสิ่งทุกอย่างที่แย่งเวลาของผู้ชมไป
เรื่องราวของเน็ตฟลิกซ์และการล่มสลายของ Blockbuster สอนให้เรารู้ว่า เมื่อไรที่เราหยุดวิ่งเพราะความประมาท ก็อาจจะเผลอพลาดท่าให้คู่แข่งแซงได้ง่าย ๆ เหมือนนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าเลย คงต้องดูกันต่อไปว่าเมื่อคู่เเข่งทุกรายของเน็ตฟลิกซ์ลงสนามแล้ว ทิศทางจะเป็นยังไงต่อไป พวกเราในฐานะผู้ชมก็ได้แต่ตีตั๋วรอชมข้างสนาม ซื้อป๊อปคอร์นมากินกันเพลิน ๆ ด้วยก็ได้นะจ๊ะ เพราะเกมนี้ถ้าจะนานเลย คงเเข่งกันลดแลกแจกแถมอย่างดุเดือด ประโยชน์ก็จะตกที่ผู้บริโภคอย่างเรา ๆ นี่แหละ แค่คิดพี่ทุยก็ฟินแล้ว
Comment