ปลายปี 2024 เต็มไปด้วยปัจจัยสำคัญที่จะเปลี่ยนแนวโน้มการเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ที่เราลงทุนไว้ได้ ไม่ว่าจะเป็น Fed ที่เริ่มลดดอกเบี้ย การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ได้ โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นปธน. คนต่อไป ที่เคยประกาศสงครามการค้าปะทะกับจีนแบบดุเดือด ส่วนรัสเซียก็ขู่จะใช้อาวุธนิวเคลียร์ในสงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่ยืดเยื้อมายาวนาน สร้างความกังวลให้ทั่วโลก แล้วอย่างนี้ ปี 2025 จะลงทุนสินทรัพย์ไหนถึงจะดี ล่าสุดสถาบันการเงิน บริษัทจัดการลงทุนระดับโลก ทยอยออกบทวิเคราะห์มุมมองปี 2025 มาแล้ว วันนี้ พี่ทุยคัด เทรนด์ลงทุน 2025 มาสรุปให้ฟัง
BNP Paribas วิเคราะห์ เทรนด์ลงทุน 2025
เริ่มกันที่ มุมมองการลงทุนของ BNP Paribas ที่ออกบทวิเคราะห์ภายใต้ชื่อ “Investment Outlook 2025 – Opportunities in a volatile world” ซึ่งก็คือการมองหาโอกาสท่ามกลางโลกที่ผันผวน โดยพี่ทุย สรุปประเด็นสำคัญที่ BNP Paribas นำเสนอไว้ ดังนี้
- การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในพื้นที่สำคัญของโลก จะส่งผลกระทบเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็น นโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ ชุดใหม่ ความเปราะบางในยุโรป ทั้งจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ และการเปลี่ยนแปลงขั้วการเมืองในประเทศเศรษฐกิจหลัก และการดิ้นรนของจีน ขณะที่ ธนาคารกลางทั่วโลก กำลังเผชิญความท้าทายในการกำหนดนโยบายการเงิน
- ช่วงเวลานี้เป็นโอกาสสำหรับการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม การเปลี่ยนผ่านพลังงาน และการมุ่งสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ สำหรับนักลงทุนที่มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาว
- ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังเป็นแรงขับเคลื่อนนวัตกรรม สร้างโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ
- ในตลาดตราสารหนี้ เรามองเห็นโอกาสจากการลงทุนในตราสารหนี้นอกตลาด (Private Credit) ซึ่งเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มุ่งเน้นกระแสเงินสด รวมถึงนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง โดยเฉพาะหนี้ในตลาดเกิดใหม่
ตราสารหนี้
- ตราสารหนี้ระยะยาว
เหตุผล : อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นจะได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายใหม่ของรัฐบาลทรัมป์ ไม่ว่าจะเป็น การย้ายถิ่นฐานที่เข้มงวดขึ้น ภาษีศุลกากร และ การลดภาษี ขณะที่ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะยาว อาจเพิ่มขึ้น สะท้อนความไม่แน่นอนของแนวโน้มเงินเฟ้อ โดยเฉพาะถ้าการขาดดุลงบประมาณของสหรัฐฯ มีแนวโน้มแย่ลงไปอีก
ตราสารหนี้ภาคเอกชน ที่มีความน่าเชื่อถือในระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade) ควรจะให้ผลตอบแทนเหนือกว่าพันธบัตรรัฐบาล ขณะที่ส่วนต่างระหว่างผลตอบแทน (spread) ของตราสารหนี้ Investment Grade และพันธบัตรรัฐบาลยังมีจำกัด ท่ามกลางเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างมั่นคง โดยตราสารสารหนี้ Investment Grade ในยูโรโซนให้ผลตอบแทนสูง มีการนำเสนอผลตอบแทนที่ปรับตามความเสี่ยง (risk-adjusted returns) ที่ดีที่สุด
- ตราสารหนี้ของประเทศที่เน้นการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ
เหตุผล : ขณะที่ Private Credit ตราสารหนี้นอกตลาด ซึ่งเป็นการระดมทุนจากนักลงทุนเพื่อปล่อยสินเชื่อให้บริษัทเอกชน มีความน่าสนใจมากขึ้น ท่ามกลางแนวโน้มที่สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ทำให้บริษัทที่ไม่ใช่สถาบันการเงินมีบทบาทในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
ขณะที่กฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับกองทุนที่ลงทุนระยะยาวในสหภาพยุโรป (ELTIF 2.0) ประกาศให้ private credit เสนอขายให้นักลงทุนทั่วไปได้ ทำให้สามารถจัดตั้งกองทุนเพื่อจำหน่ายให้รายย่อยได้ เพิ่มโอกาสการลงทุน private credit ในยุโรป โดยเฉพาะการลงทุนในบริษัทที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ได้จริง เช่น บริษัทที่พยายามขยายวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ หรือนำเสนอแพลตฟอร์มกรแบ่งปัน บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการรับมือผลกระทบจากภัยพิบัติที่มาจากสภาพอากาศ หรือบริษัทที่สร้างโครงสร้างพื้นฐานแข็งแกร่ง จำเป็นต่อการรับมือความท้าทายข้างหน้า บริษัทที่ให้บริการระบบและท่อชลประทานอัจฉริยะ และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการบำบัดน้ำ การตรวจสอบคุณภาพ เป็นต้น
- ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market : EM)
เหตุผล : ธนาคารกลางส่วนใหญ่ในตลาดเกิดใหม่ เริ่มอยู่ในวงจรการลดดอกเบี้ยเช่นเดียวกับตลาดพัฒนาแล้ว โดยอัตราผลตอบแทน (yield) ตราสารหนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาระยะหนึ่งแล้ว และอัตราผลตอบแทนที่แท้จริง (real yield) สูงขึ้นอย่างมีนัย
ตราสารทุน
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะ Nasdaq 100 ที่เน้นบริษัทเทคโนโลยี เนื่องจากแรงผลักดันของการใช้ AI
เหตุผล : การที่พรรครีพับลิกันคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งสหรัฐฯ มีแนวโน้มสนับสนุนตลาดหุ้น โดยเฉพาะตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อพิจารณาการบริหารงานของรัฐบาลทรัมป์ในอดีตเป็นแนวทาง แต่ก็มีความเสี่ยงหากเศรษฐกิจสหรัฐฯ เติบโตเร่งตัวมากเกินไป หรือการลดภาษีจำนวนมากไปกระตุ้นให้ตลาดพันธบัตรมีปฏิกิริยาเชิงลบ ซึ่งประเด็นนี้คงต้องรอจนกว่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะในการนำนโยบายไปปฏิบัติ
ทั้งนี้ AI เป็นแรงผลักดันรายได้ปี 2024 ที่สำคัญ ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากหุ้นในดัชนี Nasdaq 100 ที่เน้นเทคโนโลยี ขณะที่ตลาดส่วนที่เหลือเติบโตขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น แต่คาดว่าในปี 2025 นี้ การเติบโตของรายได้จากหุ้นใน Nasdaq 100 ก็ยังเหนือกว่าตลาด เพียงแต่การกระจายรายได้จะมีความสมดุลมากขึ้น
ตลาดหุ้นปี 2025 ของดัชนีตลาดหุ้นที่สำคัญ ๆ
สินทรัพย์ทางเลือก
- ทองคำ
เหตุผล : ยังเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) ที่ราคามีโอกาสปรับขึ้นได้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของทิศทางเงินเฟ้อในอนาคตที่อาจปรับขึ้น
Goldman Sachs วิเคราะห์ เทรนด์ลงทุน 2025
ขณะที่ Goldman Sachs ที่ออกบทวิเคราะห์ภายใต้ชื่อ “Asset Management Outlook 2025: A New Equilibrium” โดยเน้นย้ำถึงการปรับตัวของตลาดการลงทุนสู่ภาวะสมดุลใหม่ หลังผ่านช่วงเวลาที่อัตราเงินเฟ้อสูง และอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น โดยประเด็นสำคัญ มีดังนี้
- เศรษฐกิจโลกกำลังเข้าสู่ภาวะสมดุลใหม่ หลังเผชิญความท้าทายจากอัตราเงินเฟ้อสูงและอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจก็เริ่มเสถียรขึ้น อัตราเงินเฟ้อลดลง
- ธนาคารกลางหลายแห่งเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในยูโรโซนและสหราชอาณาจักร เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อที่ลดลง
- ญี่ปุ่น เป็นประเทศยกเว้นที่ไม่ได้อยู่ในวงจรการปรับลดดอกเบี้ย โดยธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเล็กน้อยในปี 2025 เนื่องจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อภายในประเทศ
คาดการณ์แนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางหลัก ๆ ในโลก ปี 2025
ตราสารหนี้
- หุ้นกู้เอกชนในต่างประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับที่ลงทุนได้ (Investment Grade)
เหตุผล : เป็นตัวเลือกที่โดดเด่นในการเพิ่มผลตอบแทนให้พอร์ตโฟลิโอปี 2025 โดยสามารถสร้างความสมดุลระหว่างการสร้างรายได้และการจัดการความเสี่ยงได้
ผลตอบแทนของตราสารหนี้ประเภทต่าง ๆ ดีกว่าเงินสด ในรอบก่อนหน้านี้ที่สหรัฐฯ ปรับลดดอกเบี้ย
ตราสารทุน
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ
เหตุผล : นโยบายลดภาษีนิติบุคคลของ Trump จะเป็นปัจจัยหนุนหุ้นสหรัฐฯ ได้ โดยเฉพาะบริษัทที่จะเสริมสร้างศักยภาพการผลิตของสหรัฐฯ ฟื้นฟูอุตสาหกรรมได้
สำหรับการลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางของสหรัฐฯ อาจให้ผลตอบแทนเป็นบวกในปี 2025 ได้ แต่ให้ใช้วิธีลงทุนเชิงรุก ค้นหาบริษัทที่มีคุณภาพการเติบโตอย่างยั่งยืน มูลค่าน่าดึงดูดใจ มีทีมบริหารที่ยอดเยี่ยม และสถานะทางการเงินที่ดี
ขณะที่ หุ้นขนาดเล็กสหรัฐฯ น่าสนใจ เนื่องจาก มีรายได้หลักจากในประเทศ ได้รับผลกระทบจากความไม่แน่นอนของการค้าระหว่างประเทศน้อย
- ตลาดหุ้นเกิดใหม่
เหตุผล : ตลาดเกิดใหม่ที่มีคุณภาพสูง มูลค่าน่าดึงดูด ได้แก่ จีน ซึ่งมีเศรษฐกิจโดดเด่น เน้นกลุ่มนวัตกรรมเทคโนโลยีที่ได้ประโยชน์จากการดูแลสุขภาพ กลุ่มไอที และการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ตามด้วย อินเดีย ซึ่งได้ประโยชน์จากจำนวนประชากรที่มีอยู่มาก ไต้หวัน และเกาหลีใต้ ที่มีบริษัทเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนา AI
- ตลาดหุ้นญี่ปุ่น
เหตุผล : แม้กำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอนมากขึ้น แต่ปัจจัยเชิงโครงสร้างไม่เปลี่ยน ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังได้แรงหนุนจากผลกำไรที่แข็งแกร่ง การหันมาให้ความสำคัญกับการกำกับดูแลกิจการที่ดี และการเปลี่ยนไปสู่สภาพแวดล้อมที่มีอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังเผชิญกับอุปสรรคจากเงินเยนที่ผันผวนอยู่ จึงแนะนำให้เน้นหุ้นญี่ปุ่นที่มีคุณภาพสูง ปัจจัยพื้นฐานมั่นคง มีแนวโน้มกำกับดูแลดี
สินทรัพย์ทางเลือก
- หุ้นนอกตลาด (Private Equity)
เหตุผล : ความเชื่อมั่นนักลงทุนกำลังกลับมาเศรษฐกิจเติบโต เงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยกำลังลดลง เป็นปัจจัยสนับสนุนการระดมทุน เสนอขายหุ้นนอกตลาด
- ตราสารหนี้นอกตลาด (Private Credit)
เหตุผล : อัตราดอกเบี้ยลดลง ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้กลับมาดีขึ้น ขณะที่การดำเนินงานมีแนวโน้มเติบโต ทำให้บริษัทสามารถก่อหนี้ได้เพิ่ม
- อสังหาริมทรัพย์
เหตุผล : อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลง จะกระตุ้นให้เกิดการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ทำให้ความเชื่อมั่นใน ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (Reits) มากขึ้นตามเช่นกัน
- โครงสร้างพื้นฐาน
เหตุผล : การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง เช่น พลังงานสะอาด AI การเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่อุปทาน และสังคมผู้สูงอายุ จะสร้างโอกาสการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
- กองทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge Fund)
เหตุผล : ผลตอบแทนของ Hedge Fund ไม่ได้สัมพันธ์กับสินทรัพย์อื่น จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการกระจายความเสี่ยง ท่ามกลางความผันผวนที่ส่งผลกระทบต่อตราสารหนี้และหุ้น
แนวโน้มการลงทุน จาก Invesco
ถัดมาคือ Invesco ที่ออกบทวิเคราะห์ภายใต้ชื่อ “2025 Investment Outlook After the landing” นำเสนอมุมมองการลงทุนหลังจากที่เศรษฐกิจชะลอตัวแบบนุ่มนวล โดยมีประเด็นสำคัญคือ
- เศรษฐกิจโลกน่าจะชะลอตัวแบบนุ่มนวล คือ เติบโตได้คงที่ โดยที่เงินเฟ้อเข้าใกล้เป้าหมาย ภายใต้สมมติฐานว่า ไม่มีเศรษฐกิจหลัก ๆ ใดในโลกที่ชะลอตัวอย่างมีนัยสำคัญในปี 2025
- ธนาคารกลางต่าง ๆ กำลังผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยในส่วนของ Fed คาดว่าจะกลับมาคงอัตราดอกเบี้ยในช่วงสิ้นปี 2025 ขณะที่แนวโน้มการเติบโตในระยะข้าง อาจทำให้แนวโน้มการลดดอกเบี้ยเลื่อนออกไปอีก ขณะที่ธนาคารกลางยุโรปผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยที่การเติบโตของเศรษฐกิจมีรากฐานที่อ่อนแอกว่าสหรัฐฯ
- หลังจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวแบบนุ่มนวลในเวลานี้แล้ว ก็คาดว่าจะยังเป็นเช่นนี้ต่อไปในปี 2025 โดยเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงจนถึงระดับศักยภาพจากนั้นก็จะเร่งตัวขึ้นในปี 2025 ส่วนเศรษฐกิจยุโรป อาจเติบโตดีขึ้นเหนือกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ได้เล็กน้อย
- มี 4 ปัจจัยที่จะมีผลทำให้แนวโน้มการลงทุนเปลี่ยนแปลงได้ ได้แก่ 1) เมื่อ Trump เป็นประธานาธิบดี อาจจะทำให้การค้าโลกหยุดชะงัก 2) มาตรการการคลังของจีนควรจะช่วยกระตุ้นการเติบโตได้ 3) เงินเฟ้ออาจจะกลับมา 4) แรงกดดันด้านงบประมาณ อาจเปลี่ยนแปลงแนวโน้มการใช้จ่ายของภาครัฐ
ตราสารหนี้
- หุ้นกู้เอกชนในต่างประเทศ Investment Grade ตามด้วย High Yield
เหตุผล : Invesco มีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นกับหุ้นกู้เอกชน Investment Grade โดยเชื่อว่า ความเสี่ยงด้านลบลดลง หลังจาก Fed ลดดอกเบี้ย ขณะที่ปัจจัยทางเทคนิคยังแข็งแกร่ง โดยนักลงทุนเริ่มเลือกหุ้นกู้ที่มีระยะเวลายาวขึ้น เพื่อล็อก yield ขณะที่ มีมุมมองเชิงบวกเพิ่มขึ้นเล็กน้อยกับหุ้นกู้ high yield ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี ขณะที่ spread แคบ ส่วนสภาพคล่องในตลาดก็ยังดี และความต้องการซื้อตราสารหนี้ยังแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ มีมุมมองเป็นกลางกับ ตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ เนื่องจากถึงแม้มูลค่าอยู่ในระดับที่ยุติธรรม แต่ว่าผลตอบแทนที่น่าสนใจส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มที่มีปัญหาเฉพาะตัว จึงแนะนำให้รอจังหวะปรับฐานแล้วค่อยเข้าไปซื้อ
ตราสารทุน
- ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เน้นกลุ่มหุ้นวัฎจักร และหุ้นขนาดเล็ก
เหตุผล : เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (yield curve) ที่ชัน จากการที่ดอกเบี้ยลด การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ค่อนข้างยืดหยุ่น และเงินเฟ้อเริ่มนิ่ง จะส่งผลดีกับหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีราคายังถูก (value) และหุ้นขนาดเล็ก (small cap) ซึ่งกลุ่มนี้มักจะมีความอ่อนไหวกับวัฎจักรเศรษฐกิจมากกว่ากลุ่มอื่น โดย อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ ควรลดภาระต้นทุนการเงินให้บริษัทที่มีหนี้ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยลอยตัว หรือบริษัทที่ต้องการรีไฟแนนซ์ในระยะใกล้ได้ ส่วนการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งในสหรัฐฯ ควรส่งผลให้รายได้บริษัทจดทะเบียนเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะในหุ้นขนาดเล็ก ที่ยอดขายทรงตัวในช่วงที่ผ่านมา และรายได้ที่ดีขึ้น จากดอกเบี้ยที่ลดลง รวมถึงค่าใช้จ่ายที่ลดลง ควรส่งผลให้รายได้ของบริษัทในกลุ่ม value และ small cap เติบโตมากขึ้นในปี 2025
- ตลาดหุ้นเกิดใหม่ เช่น จีน
เหตุผล : ตลาดเกิดใหม่ควรได้รับแรงสนับสนุนจากวัฎจักรนโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย หลังจากที่ได้รับผลกระทบในช่วงที่ผ่านมาจาก เศรษฐกิจขาลงช่วงการแพร่ระบาด และวัฎจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ Fed โดย Invesco มองว่า มีโอกาสการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ ซึ่งมีมูลค่าน่าดึงดูดใจ เนื่องจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของ Fed เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น ประกอบกับจีนเพิ่งออกนโยบายที่แสดงความมุ่งมั่นในการสนับสนุนการเติบโต จะเป็นประโยชน์ทั้งภูมิภาคเอเชีย
ทั้งนี้ มองว่า หุ้นจีน มีมูลค่าน่าดึงดูดใจ โดยซื้อขายในระดับต่ำกว่าในอดีต และต่ำกว่าตลาดพัฒนาแล้วอื่นๆ ขณะเดียวกันน่าจะได้ผลดีจากการบริโภคในจีนที่น่าจะฟื้นตัวในปี 2025 หลังทางการออกมาตรการต่างๆ มาฟื้นความเชื่อมั่น นอกจากนี้มองว่า บริษัทจีนมีโอกาสเพิ่มขึ้นในการพัฒนาห่วงโซ่อุปทานระดับโลกใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มอี-คอมเมิร์ซ เกมออนไลน์ สินค้าในครัวเรือน และอุตสาหกรรม ที่สามารถใช้ประโยชน์จากความต้องการในท้องถิ่นที่ยั่งยืนได้ รวมถึงครองส่วนแบ่งตลาดโลกได้มากขึ้น
สินทรัพย์ทางเลือก
- Private credit
เหตุผล : ผลตอบแทนโดยรวมยังน่าดึงดูดใจ เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในระยะยาว
- สินค้าโภคภัณฑ์
เหตุผล : มีความอ่อนไหวต่อวัฏจักรเศรษฐกิจ
นี่เป็นเพียงมุมมองส่วนหนึ่งของบริษัทจัดการลงทุนระดับโลกเท่านั้น แต่โดยรวมแล้วก็มีความคล้ายคลึงกัน คือ ในปี 2025 นี้ ก็เป็นปีที่สินทรัพย์ลงทุนหลายประเภทน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น ตราสารหนี้ หุ้น หรือ สินทรัพย์ทางเลือกที่เป็น สินทรัพย์นอกตลาด (Private Asset) โดยเฉพาะ Private Credit
และพี่ทุยเองก็มองว่า ไม่ว่าสินทรัพย์ไหนจะมีความโดดเด่นในปี 2025 แต่ในพอร์ตลงทุนของนักลงทุน ก็ไม่ควรจะมีสินทรัพย์เพียงประเภทเดียวอยู่ดี เพราะอาจจะมีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นในอนาคตที่ส่งผลต่อสินทรัพย์แต่ละประเภทได้
ฉะนั้น ก็ยังอยากแนะนำให้เพื่อนๆ จัดพอร์ตลงทุน มีสินทรัพย์หลากหลาย อย่างที่เคยบอกอยู่เป็นประจำ แต่จะเน้นมีตราสารหนี้มากหน่อย หรือหุ้นมากหน่อย ก็ขึ้นอยู่กับว่า รับความเสี่ยงจากความผันผวนที่เกิดขึ้นได้ระหว่างทางได้มากน้อยแค่ไหน ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนไม่ชอบการขึ้นลงหวือหวา ตกใจง่าย ก็ควรมีตราสารหนี้ในพอร์ตเยอะหน่อย แต่ถ้าใจสู้ พร้อมเสี่ยง ผันผวนยังไง ก็ไม่หวั่น มีหุ้นในพอร์ตมากหน่อยก็ได้ ส่วนสินทรัพย์ทางเลือกนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นทางเลือก ทางที่ดีก็มีติดพอร์ตไว้ ไม่เกิน 10-15% กำลังดี เน้นใช้เป็นเพียงเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง กระจายการลงทุนก็พอ
อ่านเพิ่ม