พี่ทุยคิดว่าคงมีนักลงทุนหลายคนที่อยากเป็นนักลงทุนสายพื้นฐาน หรือ Value Investment กันเยอะ เพราะได้เห็นเหล่ากูรู “VI” หลายคนที่ประสบความสำเร็จกันมาแล้ว อย่าง ปู่บัฟเฟตต์ ดร.นิเวศน์ และท่านอื่น ๆ อีกหลายคน
นักลงทุนมือใหม่ที่เข้ามาในตลาดหุ้น มักจะคิดว่า (อยาก) เป็นนักลงทุน VI แล้วแท้ ๆ แต่ยังขาดทุนหรือติดดอยกันอยู่เลย เนื่องจากว่าหลงเข้าไปติดกับดักนั่นเอง
ทำไมคิดว่าเป็นนักลงทุน VI แล้วยังขาดทุน !! มือใหม่มักจะวิเคราะห์หรือเลือกดูข้อมูลบางอย่างที่ดูเหมือนเป็นปัจจัยพื้นฐานและทำการตัดสินใจเลือกซื้อหุ้นนั้น ๆ โดยคิดว่าข้อมูลเพียงเท่านี้เพียงพอแล้วสำหรับการเลือกหุ้นแบบแนวนี้
แต่ว่า.. มือใหม่ที่กำลังหัดเป็น VI กลับไปติดกับดักกันแบบง่าย ๆ แบบไม่รู้ตัว หรือเข้าไปซื้อหุ้นราคาต่ำ หุ้นปันผลสูง แล้วกลับยังติดดอย หรือกลับขาดทุนราคาหุ้นลดลงมาเรื่อย ๆ และปันผลน้อยลงเรื่อย ๆ จนบางคนคิดกันว่า วิธีการลงทุนแบบนี้อาจใช้ไม่ได้แล้ว มันล้าสมัยไปแล้วหรือเปล่า !!
บทความนี้ พี่ทุยจึงได้รวบรวมข้อควรระวังที่จะนำไปติดกับดักกันบ่อย ๆ
1. กับดักการซื้อหุ้นที่ P/E ต่ำมาก ๆ
ข้อนี้ถือเป็นกับดักที่เป็นหลุมพรางที่จะทำให้พลาดกันอยู่บ่อย ๆ เนื่องจากว่ามือใหม่มักจะคิดว่าหุ้น P/E ต่ำ ๆแล้วมักจะถูก (โดยปกติ P/E มักถูกใช้วัดความถูกแพงของหุ้น) มาจากสูตร P หารด้วย E จะมีหน่วยจะเป็นเท่า P คือ ราคาหุ้น และ E คือ กำไรต่อหุ้น
สอดคล้องกับหลักการลงทุน VI ที่บอกว่าให้ซื้อหุ้นดีในราคาที่ถูก ! ซึ่งมือใหม่จะเลือกดูจากค่า P/E ว่ามีหน่วยเป็นกี่เท่า เพื่อดูว่าถ้าถือหุ้นตัวนี้ไปต้องใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ถึงจะคืนทุนจากการคืนหุ้น เช่น หุ้น ก มีค่า P/E อยู่ที่ 5 เท่า มาจาก ราคาหุ้น 10 บาท หารด้วยกำไรต่อหุ้น 2 บาท แสดงว่า เมื่อถือหุ้น ก ไป 5 ปี ภายใต้เงื่อนไขเหล่านี้ เราจะได้ทุนคืนมาจากการถือหุ้น ก นั่นเอง
แต่ว่ามือใหม่มักจะมองแต่มิติเดียว คือ เห็นว่า P/E ต่ำมาก น่าเข้าไปเก็บหุ้นเหล่านั้นเอาไว้ เพราะมโนว่าวันหนึ่งหุ้นจะได้ขึ้นไปหลายเด้งภายในเวลาไม่นาน โดยที่แท้จริงแล้ว ดูแต่เพียงค่า P/E อย่างเดียวไม่พอ !! มือใหม่ต้องไปดูด้วยว่า เพราะอะไรทำไมค่า P/E หุ้นถึงต่ำได้มากขนาดนี้ ?
เป็นไปได้ว่าค่า P/E ที่ต่ำมาก ๆ นั้น อาจมาจากบริษัทได้กำไรพิเศษเข้ามาในช่วงเวลานั้น ๆ ก็ได้ หรือเป็นกำไรที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว เช่น กำไรจากการขายสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน หรือการปรับโครงสร้างหนี้หรือขายหน่วยลงทุนต่างๆ จึงทำให้ในช่วงไตรมาสนั้นๆ มีกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่าผลประกอบการปกติ ดังนั้นพอกลับเข้ามาคิดในงบการเงินแล้ว จะทำให้พบว่า ราคาหุ้นยังไม่ได้ไปไหน แต่กำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น
พอคิดออกมาเป็นค่า P/E แล้วมีค่าต่ำมาก ๆ ทำให้มือใหม่หลงบินเข้าไปซื้อหุ้นที่คิดว่าราคาถูกมาก แต่ปีต่อไปอาจไม่สามารถทำกำไรเหมือนเช่นเดิมได้อีก ทำให้ P/E ที่เกิดขึ้นนี้ มีค่าน้อยกว่าปกติ ซึ่งเป็นกับดักที่มือใหม่ต้องเฝ้าระวังไว้ดีๆ ควรดูค่า P/E โดยเฉลี่ยย้อนหลัง 5-10 ปี ประกอบ และเทียบ P/E เฉลี่ยในอุตสากรรมนั้น ๆ ด้วย
2. กับดักการซื้อหุ้นปันผลสูง ๆ
ข้อนี้ก็ถือว่าน่าสนใจสำหรับนักลงทุนสาย VI ที่มีหลักการลงทุนที่บอกไว้ว่า สร้างกระแสเงินสดจากหุ้นปันผล โดยที่ตลาดหุ้น SET ปันผลเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3% และมีหุ้นบางตัวที่ปันผลสูงถึง 7-10% เลยทีเดียว กับดักข้อนี้จึงเป็นหลุมพรางที่ล่อให้มือใหม่ที่คิดอยากเก็บหุ้นปันผลสูงๆเข้าพอร์ต เพื่อหวังที่จะสร้างกระแสเงินสดจากเงินปันผลเหล่านี้ บางคนก็จะนำไปใช้จ่าย บางคนก็จะนำกลับมาซื้อหุ้นเติมเข้าพอร์ตใหม่ (Re-Investment) ซึ่งเป็นหลักการสำคัญในการลงทุน เพื่อจะให้เกิดพลังของผลตอบแทนทบต้น
วิธีคิดอัตราผลตอบแทนของหุ้นปันผล คือ จำนวนเงินปันผล หารด้วย ราคาหุ้น เช่น หุ้น ข ปันผลอยู่ที่ 1 บาท แต่ราคาหุ้น ข อยู่ที่ 10 บาท แสดงว่า หุ้น ข จ่ายผลตอบแทนคืนให้กับนักลงทุนอยู่ที่ 10%
ในความเป็นจริงแล้ว มือใหม่ที่เข้าไปซื้อหุ้นเหล่านี้ คาดหวังว่าจะได้เงินปันผลสูงๆ แต่ว่าราคาหุ้นหรือจำนวนเงินปันผลกลับจ่ายลดลงเรื่อย ๆ แทนที่จะได้ปันผลสูง ๆ แบบที่คิดไว้ เนื่องจากว่า หุ้นบางตัวก็มีนโยบายการปันผลเกือบ 100% จากกำไร
ในมุมหนึ่งนักลงทุนอาจดีใจที่เหมือนได้รับเงินปันผลสูง ๆ แต่ในอีกมุมหนึ่ง การที่บริษัทจ่ายเงินปันผลสูงๆมาทั้งหมด เป็นสิ่งที่สะท้อนถึงความสามารถในการเติบโตของบริษัท เป็นไปได้ว่าบริษัทอาจถึงจุดอิ่มตัวแล้วก็ได้ จึงไม่รู้ว่าจะเก็บเงินไปลงทุนอะไรเพื่อขยายธุรกิจให้เติบโตอีกต่อไปไม่ได้แล้ว
หรือว่าการที่บริษัทจ่ายปันผลในปีนั้นสูง ๆ เป็นไปได้ว่า บริษัทอาจจะมีกำไรพิเศษแบบในกรณีแรกได้เช่นกัน จึงทำให้พอคิดแล้วเป็นการจ่ายเงินปันผลออกมาแล้วมีสัดส่วนสูง หรืออย่างกองอสังหาฯ แบบกอง Leasehold ที่จะมีการจ่ายปันผลในอัตราที่สูง แต่พอใกล้อายุสิ้นสุดของกอง จนมาถึงปีสุดท้าย NAV มีค่าเป็นศูนย์ จุดนี้ต้องระวังไว้ดี ๆ
3. กับดักหุ้นที่ชอบใช้วิศวกรรมทางการเงินแบบต่าง ๆ
ข้อนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องทำการบ้านให้ดี ๆ เพราะมีบางบริษัทชอบออกตราสารทางการเงินแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่มีความซับซ้อนมาก จนมือใหม่ไม่ค่อยเข้าใจ แนะนำให้ถามผู้มีความรู้หรือผู้แนะนำการลงทุนช่วยด้วย
ยกตัวอย่างเช่น การที่บริษัทชอบเรียกเพิ่มทุน การออกวอแรนต์หรือใบสำคัญแสดงสิทธิ ที่สามารถเปลี่ยนเป็นหุ้นสามัญได้โดยต้องจ่ายเงินเพิ่ม หรือมีการออกหุ้นเพิ่มทุนต่าง ๆ นานา ที่จะส่งผลต่อราคาหุ้นให้สัดส่วนผู้ถือหุ้นมีมูลค่าลดลงได้ (Dilution effect)
เมื่อผู้ถือหุ้นบางคนไม่ได้ใช้สิทธิในการเพิ่มทุนตาม จะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นเมื่อเทียบกับหุ้นทั้งหมดเหลือน้อยลงหรือหุ้นมีกำไรต่อหุ้นน้อยลงนั่นเอง ดังนั้นนักลงทุนที่คาดการณ์ในอนาคตว่าบริษัทจะมีกำไรต่อหุ้นสูงขึ้น เพื่อหวังว่าราคาหุ้นจะเติบโตขึ้นด้วย แต่การที่จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นกลับทำให้กำไรต่อหุ้นลดน้อยลง หรือพูดง่ายๆว่า P/E สูงขึ้นเช่นกัน สิ่งนี้นักลงทุนต้องใช้ประสบการณ์ในการลงทุน ศึกษาหาข้อมูลไว้ก่อนเสมอ
3 กับดักที่สำคัญนี้ พี่ทุยเชื่อว่าใครที่ลงทุนอยู่ในตลาดหุ้นจะต้องได้พบเจอกันทุกคน สำหรับการลงทุนย่อมจะมีโอกาสพลาดหรือติดกับดักกันได้ แต่วิธีออกจากกับดักนั้น คือ การแสวงหาข้อมูลความรู้ที่เพียงพอในการลงทุน อย่างมือใหม่ที่คิดจะเป็นนักลงทุนสาย “VI” ที่ดี มีอะไรต้องเรียนรู้อีกมากมาย
ไม่ว่าจะต้องวิเคราะห์ข้อมูลหุ้นให้รอบด้าน เข้าใจโมเดลธุรกิจของบริษัทให้มากที่สุด และศึกษาถึงเรื่องนโยบายของบริษัทและงบการเงินอย่างรอบคอบ และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมดูที่ทีมผู้บริหารของบริษัทด้วย ให้มีคุณธรรม มีธรรมาภิบาลในการบริหารงาน เพื่อสร้างความมั่นใจว่า เราเลือกหุ้นเลือกบริษัทนั้นอย่างดีที่สุด แล้วพร้อมจะถือหุ้นดี ๆ เหล่านี้ไปตลอดชีวิตได้