ซื้อหุ้นคืน = หุ้นขึ้นจริงเหรอ ?

ซื้อหุ้นคืน = หุ้นขึ้นจริงเหรอ ?

   Money Buffalo

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

กลยุทธ์ การ ซื้อหุ้นคืน เบื้องหลังกลยุทธ์เรียกศรัทธา หรือแค่ภาพลวงตาหลอกนักลงทุน ? ช่วงนี้หลายคนอาจจะสังเกตเห็นข่าวว่า บริษัทใหญ่ ๆ ในตลาดหุ้นต่างพากันประกาศ ซื้อหุ้นคืน จนทำให้นักลงทุนจำนวนไม่น้อยตั้งคำถามว่า…แบบนี้หุ้นจะขึ้นจริงไหม ? แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเรา ?

พี่ทุยเลยขอชวนคุยเรื่องนี้แบบตรงไปตรงมา เพื่อให้ทุกคนเข้าใจทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของกลยุทธ์นี้ให้ชัดเจนกันไปเลย

การซื้อหุ้นคืนคืออะไร ?

การซื้อหุ้นคืน คือ การที่บริษัทใช้เงินสดของตัวเองไปซื้อหุ้นของตัวเองจากตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งทำให้ “จำนวนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดลดลง” และเมื่อของในตลาดมีน้อยลง แต่ความต้องการยังเท่าเดิม ก็อาจทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นได้ ตัวอย่างเช่น ถ้าบริษัทมีหุ้นทั้งหมด 1,000 ล้านหุ้น และซื้อคืน 100 ล้านหุ้น ก็จะเหลือหุ้นอยู่ในตลาดแค่ 900 ล้านหุ้นเท่านั้น

บริษัทซื้อหุ้นคืนไปเพื่ออะไร ?

หลายคนอาจสงสัยว่า… ถ้าบริษัทมีเงินสดอยู่ในมือ แล้วจะเอาไปทำอะไรก็ได้ไม่ใช่เหรอ ? จะลงทุนเพิ่ม ขยายกิจการ หรือจ่ายปันผลให้ผู้ถือหุ้นก็ยังได้แต่ทำไมบางบริษัทถึงเลือกเอาเงินสดก้อนนั้นไป “ซื้อหุ้นตัวเอง” แทน ?

จริง ๆ แล้ว การซื้อหุ้นคืนไม่ใช่เรื่องที่ทำกันเล่น ๆ เพราะมันเป็นการส่ง “สัญญาณบางอย่าง” ออกไปสู่ตลาด และยังมีผลต่อภาพลักษณ์ ผลประกอบการ และความเชื่อมั่นของนักลงทุนอีกด้วย และนี่คือเหตุผลหลัก ๆ ว่าทำไมหลายบริษัทถึงเลือกใช้กลยุทธ์นี้…

1. เพื่อแสดงความมั่นใจ

การซื้อหุ้นคืนคือการส่งสัญญาณว่า “เรามั่นใจว่าหุ้นเราถูกเกินไป” ขนาดบริษัทยังกล้าซื้อเองเลย มันเหมือนเวลาเราเห็นของบางอย่างที่เรารู้ว่ามีคุณค่า แต่คนอื่นมองข้าม เราก็จะรีบซื้อเก็บไว้ก่อนที่คนอื่นจะรู้ตัวในโลกของการลงทุนก็เช่นกัน… นักลงทุนจะมองว่าถ้าบริษัทยอมเอาเงินก้อนโตกลับมาซื้อหุ้นตัวเองนั่นแปลว่าผู้บริหารน่าจะ เห็นคุณค่าที่ตลาดยังไม่เห็น

หรือในอีกมุมหนึ่งก็คือการ “ดึงความมั่นใจของนักลงทุนกลับมา” โดยเฉพาะเวลาหุ้นร่วงแรง ๆ แบบที่พื้นฐานบริษัทไม่ได้แย่ แต่คนตกใจไปเอง การที่บริษัทกล้าซื้อหุ้นตัวเองคือการ “ลงมือโชว์” แทนที่จะพูดลอย ๆ ว่า “มั่นใจ”

2. เพื่อดันกำไรต่อหุ้น (EPS) ให้ดูดีขึ้น

เวลาเราดูผลประกอบการบริษัท หนึ่งในตัวชี้วัดที่หลายคนใช้คือ EPS (Earnings Per Share) หรือ “กำไรต่อหุ้น” ซึ่งมันคำนวณจากสูตรง่าย ๆ คือ EPS = กำไรสุทธิ / จำนวนหุ้น ทีนี้ลองนึกภาพตามว่า…สมมติเรามีกำไร 1,000 ล้านบาท และมีหุ้นอยู่ 1,000 ล้านหุ้น EPS ก็จะเท่ากับ 1 บาท แต่ถ้าเราซื้อหุ้นคืนไป 200 ล้านหุ้น เหลือแค่ 800 ล้านหุ้น ทั้งที่กำไรยังเท่าเดิม คือ 1,000 ล้านบาท EPS ก็จะกระโดดเป็น 1.25 บาท ทันที

เห็นมั้ยว่า แค่ลดจำนวนหุ้น ก็ทำให้ EPS “ดูดีขึ้น” ได้โดยไม่ต้องเพิ่มกำไรเลยสักบาท บางบริษัทใช้วิธีนี้เพื่อให้ผลประกอบการดูเติบโต แม้จริง ๆ แล้วรายได้อาจจะนิ่ง ๆ พูดอีกแบบ… มันคือ “ภาพลวงตาทางบัญชี” ที่ทำให้หุ้นดูน่าสนใจขึ้น ซึ่งในบางจังหวะ ก็ช่วยให้ราคาหุ้นเด้งกลับ หรือสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ชั่วคราว

3. เพื่อพยุงราคาหุ้นไม่ให้ตก

ในช่วงที่ตลาดผันผวน หรือบริษัทเจอข่าวลือ ข่าวลบ ราคาหุ้นมักจะปรับตัวลงแรงจนบางครั้งหลุดพื้นฐาน ในสถานการณ์แบบนี้ บริษัทอาจตัดสินใจ เข้าซื้อหุ้นคืน เพื่อ “พยุงราคา” ไม่ให้ตกต่ำจนเกินไปหรืออย่างน้อย… ก็เพื่อสร้างแนวรับทางจิตวิทยาให้กับนักลงทุน

ลองนึกภาพว่า หุ้นของเราตกลงมาแรง ๆ แต่มีข่าวว่าบริษัทประกาศแผนซื้อหุ้นคืน 5,000 ล้านบาท มันจะทำให้ตลาดเริ่มรู้สึกว่า “ราคานี้มีคนรับ” และอาจชะลอแรงขายลงได้ พูดง่าย ๆ คือ มันกลายเป็น “เบาะกันกระแทก” เวลาเกิดแรงเทขาย บางกรณี บริษัทก็อาจทำเพื่อ ลดความผันผวน ของราคาหุ้น เพราะถ้าหุ้นเหวี่ยงแรงตลอดเวลา นักลงทุนรายใหญ่ หรือกองทุน อาจลังเลที่จะเข้าลงทุนระยะยาว

ดังนั้น การซื้อหุ้นคืนในจังหวะที่เหมาะสม ก็เหมือนการ “คุมเกม” เพื่อให้ราคาหุ้นไม่เสียภาพลักษณ์เกินไป และยังช่วยประคองความมั่นใจของผู้ถือหุ้นรายย่อย ที่อาจเริ่มไม่แน่ใจในอนาคตของบริษัทด้วย

แล้ว ซื้อหุ้นคืน มันดีจริงไหม ?

การซื้อหุ้นคืนอาจฟังดูเป็นข่าวดีในสายตานักลงทุน เพราะมันดูเหมือนว่าบริษัทมีเงินสดเหลือเฟือจนเอามาไล่ซื้อหุ้นตัวเองได้ แถมพอซื้อหุ้นคืน จำนวนหุ้นในตลาดก็ลดลง ส่งผลให้ ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นในระยะสั้น เพราะอุปทานน้อยลง ขณะที่อุปสงค์ยังเท่าเดิม หรืออาจเพิ่มขึ้นจากแรงเก็งกำไรของนักลงทุน ฟังดูแล้วก็ดูดีใช่ไหมล่ะ ?

แต่พี่ทุยอยากให้ทุกคนใจเย็น ๆ แล้วมองลึกลงไปอีกนิด… เพราะการที่หุ้นขึ้นจากการซื้อคืน ไม่ได้หมายความว่า ธุรกิจดีขึ้นจริง หรือมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจริงเสมอไป มันเป็นแค่ “แรงผลักชั่วคราว” ที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของบริษัท ไม่ได้สะท้อนถึงศักยภาพระยะยาวของธุรกิจเลย

ถ้าธุรกิจยังไม่มีอนาคต ขาดแผนการเติบโต หรือกำไรหดลงทุกปี ต่อให้ซื้อหุ้นคืนกี่รอบ สุดท้ายราคาก็อาจ “ไหลลงมา” อีก เพราะนักลงทุนไม่ได้เชื่อแค่สิ่งที่บริษัททำตอนนี้ แต่เขามองไปถึง “อนาคตของบริษัท” ด้วย

ตลาดหุ้นในระยะยาวให้ค่ากับ “คุณค่าแท้” มากกว่า “ภาพลักษณ์ชั่วคราว”พูดง่าย ๆ ก็คือ ถ้าแก่นธุรกิจไม่แข็งแรง ต่อให้ตกแต่งบัญชีแค่ไหน มันก็ซ่อนความจริงไว้ไม่ได้ บางบริษัทซื้อหุ้นคืนเพื่อดัน EPS ให้ดูดี หรือพยุงราคาหุ้นไม่ให้ตก แต่ถ้าพื้นฐานไม่ดีจริง กลยุทธ์พวกนี้ก็เหมือนการแต่งหน้าก่อนถ่ายรูป อาจดูดีแค่ในสายตาชั่วครู่ แต่คนที่มองลึกก็จะรู้ว่าอะไรคือของจริง

ดังนั้นเวลาเราเห็นข่าวบริษัทประกาศซื้อหุ้นคืน อย่าเพิ่งรีบดีใจ ให้มองย้อนกลับไปดูว่าพื้นฐานธุรกิจเขาแข็งแรงพอหรือเปล่า ?
แผนอนาคตเขาน่าสนใจไหม ? เพราะถ้าคำตอบคือ “ไม่”… ไม่ว่าจะซื้อคืนอีกกี่รอบ หุ้นก็อาจจะไม่ได้ไปไหนไกลเลยครับ

การซื้อหุ้นคืนเกี่ยวข้องกับนักลงทุนยังไง ?

1. ถ้าเราถือหุ้นอยู่ การซื้อคืนอาจทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้น

เมื่อบริษัทประกาศซื้อหุ้นคืน จำนวนหุ้นในตลาดจะลดลง เพราะบริษัทนำหุ้นที่ซื้อคืนไปเก็บไว้ หรือถอนออกจากตลาด ทำให้หุ้นที่เหลือมีมูลค่าต่อหุ้นสูงขึ้นตามกลไกอุปสงค์อุปทาน คือของมีน้อยลง แต่คนอยากได้เท่าเดิมหรือมากขึ้น ราคาก็มีโอกาสขยับขึ้นได้ ซึ่งถ้าเราเป็นผู้ถือหุ้น ก็อาจได้รับผลดีจากราคาหุ้นที่ปรับขึ้นนี้โดยตรง

2. กองทุนที่เราลงทุนก็อาจได้รับผลบวกจากหุ้นเหล่านี้

ถ้าเราไม่ได้ซื้อหุ้นโดยตรง แต่ลงทุนผ่านกองทุนรวม หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนเหล่านี้ก็มักจะถือหุ้นบริษัทที่ประกาศซื้อคืนด้วยเช่นกัน ดังนั้น เมื่อหุ้นตัวนั้นมีแนวโน้มราคาขึ้น เพราะมีการซื้อหุ้นคืนเข้ามาหนุน มูลค่าพอร์ตของกองทุนก็อาจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งส่งผลดีต่อมูลค่าหน่วยลงทุนของเราด้วยเช่นกัน

3. การยืนยันทางอ้อมว่ามีคนเห็นด้วยกับเราว่าหุ้นตัวนี้ “ถูกเกินไป”

เมื่อบริษัทใช้เงินตัวเองซื้อหุ้นของตัวเอง แปลว่าเจ้าของหรือฝ่ายบริหารมั่นใจว่าหุ้นของบริษัทยังมีมูลค่าที่ต่ำกว่าความเป็นจริง ซึ่งช่วยยืนยันว่าเราที่ลงทุนในหุ้นตัวนั้น อาจมีความเห็นถูกต้องที่มองว่าหุ้นนี้ “ถูกเกินไป” และมีโอกาสเติบโตในอนาคต นั่นช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เราได้มากขึ้นว่า การลงทุนครั้งนี้ไม่ได้อยู่คนเดียวอีกต่อไป

สรุปง่าย ๆ ก็คือ การซื้อหุ้นคืนไม่ใช่เรื่องดีเสมอไปแม้ว่าการซื้อหุ้นคืนจะดูเป็นสัญญาณดีที่ช่วยหนุนราคาและสร้างความมั่นใจในหุ้น แต่พี่ทุยอยากย้ำว่า “มันไม่ใช่เวทมนตร์ที่จะช่วยแก้ปัญหาทุกอย่างในบริษัทได้”สุดท้ายแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดยังคงเป็น “พื้นฐานของธุรกิจ”

ถ้าธุรกิจไม่เติบโตจริง ไม่สามารถสร้างกำไรหรือขยายตัวได้ การซื้อหุ้นคืนก็เหมือนแค่การฉาบฉวยภาพลักษณ์ให้ดูดีชั่วคราวหุ้นอาจวิ่งขึ้นแบบฉาบฉวยในระยะสั้น แต่มันจะไม่สามารถรักษาระดับราคานั้นได้ในระยะยาว นักลงทุนจึงควรพิจารณาทั้งสองส่วนควบคู่กัน คือ สัญญาณจากการซื้อหุ้นคืน และความแข็งแกร่งของธุรกิจ

อย่าเพิ่งตกใจหรือดีใจมากเกินไปเมื่อเห็นข่าวซื้อหุ้นคืน หากธุรกิจไม่โตจริง หรือไม่ชัดเจนในแผนการขยายตัว ราคาหุ้นก็มีโอกาส “หลุด” และลดลงตามความเป็นจริงของตลาด สรุปคือ การซื้อหุ้นคืนเป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือช่วยเพิ่มความมั่นใจและปรับโครงสร้างหุ้น แต่ไม่ใช่เครื่องมือเดียวที่ควรเชื่อถือนักลงทุนที่ดีต้องมองภาพรวมให้ครบถ้วนและตัดสินใจจากข้อมูลพื้นฐานที่แท้จริงเสมอครับ

ติดตามพี่ทุยเพิ่มเติมได้ที่ Facebook

อ่านบทความอื่น ๆ

เล่นหุ้นขาดทุน ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงเป็นแบบนั้น ?

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile