แผนการลงทุน เป็นสิ่งที่ช่วยกรอบความคิดของเรา ช่วยในการตัดสินใจได้เป็นอย่างดีสำหรับการลงทุน เพราะมันจะคอยขจัดปัญหาจะขายดีไหม จะซื้อไหมอะไรพวกนี้ไปหมดเลย และทำให้เราโฟกัสไปที่เป้าหมายเท่านั้น ดังนั้น แผนการลงทุนที่ดีจึงช่วยพาให้เราไปถึงเป้าหมายที่ต้องการได้
ในช่วงที่ผ่านมาใครที่ติดตามการลงทุน..จะเห็นว่าตลาด หุ้น บ้านเราหรือ SET หุ้น ตกกันกระจุยกระจายเลยจ๊ะนายจ๋าาาาาา พี่ทุยคิดว่าก่อนลงทุนทุกครั้ง เราควรรู้อยู่แล้วรึป่าว ? ว่า …ถ้าหุ้นขึ้น เราจะทำยังไง ? หรือว่าหุ้นลง เราจะทำยังไง ? แม้กระทั่งหุ้นคงเส้นคงวาอยู่เฉย ๆ เราจะทำยังไงกับมันดี ? สำหรับใครที่รู้ว่าตัวเองควรทำยังไง แสดงว่าเรามีแผนการลงทุน แต่ถ้าคำตอบ คือ “ไม่” แสดงว่าคุณกำลังลงทุนโดยไร้ทิศทาง แล้วการลงทุนอย่างมีแบบแผนนั้นหน้าตาเป็นยังไง ? มาดูกัน
1.ถ้าหุ้นขึ้น เราจะทำยังไง ?
- ถ้าหุ้นขึ้นตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้ สิ่งแรกที่ควรทำคือ ทบทวนแผนเดิม หากหุ้นขึ้นไปถึงจุดที่เราตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะขายเพื่อทำกำไร ก็ถึงเวลาที่เราต้องตัดสินใจว่าจะขายทั้งหมด หรือขายบางส่วนเพื่อล็อกกำไรไว้ก่อน ส่วนที่เหลือก็อาจจะปล่อยให้เติบโตต่อไป
- ถ้าหุ้นขึ้นเกินความคาดหมาย กรณีนี้เราอาจต้องพิจารณา ประเมินสถานการณ์ อีกครั้งว่าการขึ้นของหุ้นนั้นมีปัจจัยพื้นฐานรองรับหรือไม่ เช่น ผลประกอบการดีขึ้น มีข่าวดีเฉพาะตัว หรือเป็นแค่การเก็งกำไร หากปัจจัยพื้นฐานไม่เปลี่ยน การขึ้นที่เร็วเกินไปอาจนำไปสู่การปรับฐานลงได้ เราอาจพิจารณาขายทำกำไรบางส่วนหรือทั้งหมดเช่นกัน
- ถ้าหุ้นขึ้นและเรายังเชื่อมั่นในอนาคตของกิจการ หากเราศึกษามาอย่างดี และเชื่อว่าบริษัทมีศักยภาพในการเติบโตได้อีกไกล และการขึ้นของหุ้นเป็นไปตามพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เราก็อาจจะ ถือต่อไป เพื่อรอรับผลตอบแทนที่มากขึ้นในอนาคต แต่ก็ควรจับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และพิจารณาปรับแผนตามความเหมาะสม
2.ถ้าหุ้นลง เราจะทำอย่างไร ?
- วิเคราะห์สาเหตุที่หุ้นลงเพราะอะไร ? ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนไปหรือไม่ ? เช่น ผลประกอบการแย่ลง, อุตสาหกรรมชะลอตัว, หรือมีข่าวร้ายเฉพาะบริษัท หากปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ เราอาจต้องพิจารณา ขายหุ้นเพื่อลดความเสียหาย (Cut Loss) ตามแผนที่วางไว้
- ทยอยซื้อเพิ่มเพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุนให้ต่ำลง เพราะ บางครั้งหุ้นก็ลงพร้อมกับตลาดทั้งที่พื้นฐานของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลง เช่น เศรษฐกิจชะลอตัวชั่วคราว, ความกังวลเรื่องดอกเบี้ย, หรือสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอน หากเป็นกรณีนี้ และเรายังมั่นใจในพื้นฐานของบริษัท
- ประเมินความเสี่ยงและสภาพคล่อง ว่าเรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน ? และมีเงินสดสำรองเพียงพอหรือไม่ หากเรารู้สึกไม่สบายใจกับความผันผวนที่เกิดขึ้น และการลงของหุ้นส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินของคุณอย่างรุนแรง การขายออกบางส่วนเพื่อรักษาสภาพคล่องไว้ก็อาจเป็นสิ่งจำเป็น
3.หุ้นอยู่เฉย ๆ เราจะทำยังไงกับมันดี ?
- ทบทวนเหตุผลที่ลงทุนไปตั้งแต่แรก ว่าทำไมเราถึงซื้อหุ้นตัวนี้ ? เพราะถ้าซื้อเพราะหวังการเติบโตของธุรกิจ การที่หุ้นนิ่งอาจเป็นสัญญาณว่าการเติบโตไม่เป็นไปตามที่คาด หรือตลาดไม่ได้ให้มูลค่ากับอนาคตของบริษัท ณ ตอนนี้ เราอาจต้องกลับไปดูผลประกอบการ ข่าวสาร หรือแผนธุรกิจของบริษัทอีกครั้งว่ามีอะไรเปลี่ยนไปหรือไม่
- หรือซื้อเพราะปันผล ตราบใดที่บริษัทยังจ่ายปันผลสม่ำเสมอและมีผลประกอบการที่แข็งแกร่ง การที่ราคาหุ้นนิ่งอาจไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เรายังคงได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลอยู่ แต่ก็ควรตรวจสอบว่าการจ่ายปันผลยังยั่งยืนหรือไม่
- วิเคราะห์สาเหตุที่หุ้นนิ่ง บริษัทเข้าสู่ช่วงอิ่มตัวของธุรกิจ? บางครั้งบริษัทใหญ่ ๆ ที่มีเสถียรภาพสูงก็อาจจะเติบโตช้าลง ทำให้ราคาหุ้นไม่หวือหวาเท่าบริษัทที่กำลังอยู่ในช่วงขยายตัวตลาดไม่ให้ความสนใจในหุ้นกลุ่มนี้ ?
บางช่วงเวลา หุ้นบางกลุ่มก็อาจจะอยู่ในช่วงที่ตลาดไม่ให้ความสนใจ ทำให้สภาพคล่องในการซื้อขายไม่สูงและราคาไม่ขยับ ไม่มีข่าวดีหรือร้ายแรง การที่ไม่มีปัจจัยบวกหรือลบเข้ามาในระยะเวลาหนึ่ง ก็ทำให้ราคาหุ้นอยู่ในกรอบแคบ ๆ
การลงทุนแบบผิดแผนเป็นอย่างไร
เดี๋ยวพี่ทุยพามาดูตัวอย่างแปลก ๆ ที่เจอมา.. อย่างการลงทุนใน LTF ที่หลายๆคนจะพยายามบอกกันว่า แก่นแท้ของ LTF คือการที่ให้เราศึกษาตลาดทุนก็ตาม แต่ถ้าเราซื้อ LTF เพื่อ “ลดหย่อนภาษี” ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะมันนี้ก็คือ “แผนการลงทุน” เช่นกัน แต่แผนการลงทุนของคนที่ลง LTF เพื่อ “ลดหย่อนภาษี”กับคนที่ลงทุน LTF เพื่อผลตอบแทนในระยะยาวพี่ทุยบอกได้เลยว่า “โคตรแตกต่างกัน”
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ คนมากกว่า 80% ลง LTF เพื่อ “ภาษี” แต่ใช้วิธีการลงทุนแบบการลงทุนระยะยาว พอพอร์ตพังก็เลยช๊อคกันไป ! แบบปรับตัวไม่ถูกกันเลยทีเดียว
ซึ่งพี่ทุยว่าตลาดหุ้นหรือเรื่องการลงทุน ไม่ใช่เรื่องที่ยากขนาดไม่มีทางกำไรได้ แต่ก็ไม่ได้หมูขนาดที่ว่าเดินเข้า 7-11 แล้วสั่งขนมจีบกินแค่คิดว่าเราเรียนมา 18 ปี เพื่อมารับเงินเดือน 15,000 บาท แต่ทีกับการศึกษาเรื่องลงทุน แค่วันละ 1 ชั่วโมงบ่นกันจะเป็นจะตายว่า ไม่มีเวลา นู้นนี่นั่น …
ทั้งๆที่เป็นวิชาชีวิต ที่เราสามารถใช้ทำมาหากินได้ทั้งชีวิต แถมไม่มีทางโดนไล่ออก ถ้าเรามักง่ายกับเรื่องอะไรก็ตาม แล้วผลของการกระทำออกมาเป็น “มักง่าย” เหมือนกับสิ่งที่เรามักง่าย ก็อย่าแปลกใจละกันเน้อออออออออ
สร้าง “แผนการลงทุน” ของเราเอง
เพื่อให้เราเป็นนักลงทุนที่มีแผนที่แข็งแกร่ง พี่ทุยขอแนะนำแนวทางในการสร้างแผนการลงทุนของเราเอง
1.กำหนดเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจน
เราลงทุนเพื่ออะไร ? ลดหย่อนภาษี ? สร้างความมั่งคั่งระยะยาว ? มีเงินใช้หลังเกษียณ ? หรือซื้อบ้าน ? การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยกำหนดกลยุทธ์และตัดสินใจได้ง่ายขึ้น.
2.ประเมินความเสี่ยงที่รับได้
เราเป็นนักลงทุนประเภทไหน ? รับความเสี่ยงได้สูง ปานกลาง หรือต่ำ ? การเข้าใจระดับความเสี่ยงที่ตัวเองยอมรับได้จะช่วยให้คุณเลือกสินทรัพย์ที่เหมาะสมและไม่ตื่นตระหนกเมื่อตลาดผันผวน.
3.วางกลยุทธ์การจัดสรรสินทรัพย์
เราจะแบ่งเงินลงทุนไปในสินทรัพย์ประเภทใดบ้าง ? หุ้น ตราสารหนี้ กองทุนรวม หรืออสังหาริมทรัพย์ ?
4.การกระจายความเสี่ยง (Diversification)
เป็นหัวใจสำคัญในการลดความผันผวนของพอร์ต
5.กำหนดจุดเข้าและจุดออกที่ชัดเจน
ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเพิ่ม การขายทำกำไร หรือการตัดขาดทุน (Cut Loss) ควรมีเกณฑ์ที่ชัดเจนว่าจะทำเมื่อไหร่ และทำไมถึงทำตามเกณฑ์นั้น
6.ทบทวนและปรับแผนอย่างสม่ำเสมอ
ตลาดและการเงินส่วนบุคคลมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ควรทบทวนแผนการลงทุนของเราอย่างน้อยปีละครั้ง หรือเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญในชีวิต เพื่อให้แผนยังคงสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันและเป้าหมายของเรา การมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนและปรับตัวได้ตามสถานการณ์ต่างหาก คือกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในโลกของการลงทุน คุณพร้อมที่จะวางแผนการลงทุนของเราแล้วหรือยัง ? งั
ติดตามพี่ทุยเพิ่มเติมได้ที่ Facebook
หรืออ่านบทความเพิ่มเติมได้