"เลือกหุ้น" แบบปู่บัฟเฟตต์ ทำได้ไม่ยาก

“เลือกหุ้น” แบบปู่บัฟเฟตต์ ทำได้ไม่ยาก

3 min read  

ฉบับย่อ

  • การ “เลือกหุ้น” ที่มีอนาคตเติบโตได้อย่างสดใสในระยะยาว ถือเป็นหัวใจสำคัญอย่างหนึ่งของการลงทุนแนว VI หลักการเลือกหุ้นเหล่านี้ เราสามารถศึกษาวิธีจากปู่บัฟเฟตต์ที่ใช้ในการเลือกหุ้นดี ที่สะท้อนการเติบโตได้ในระยะยาว
  • หลักการสำคัญที่ปู่บัฟเฟตต์ใช้เลือกหุ้นที่มีอนาคตดี บริษัทมีสินค้าและบริการที่มีความยั่งยืน ที่สะท้อนได้จากการได้รับความสนใจจากผู้บริโภคในทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม
  • นอกเหนือจากการหารายได้ สร้างกำไรให้มากที่สุดแล้ว อีกด้านหนึ่งในโลกของธุรกิจ คือ การจ่ายภาษีให้น้อยที่สุด ไม่รีบขายออกมาก่อน ปล่อยให้หุ้นมีโอกาสได้เติบโต ซึ่งจะเป็นพลังของผลตอบแทนทบต้นจากการลงทุนให้ทวีคูณมากยิ่งขึ้นด้วย

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

วอร์เรน บัฟเฟตต์ ปรมาจารย์การลงทุนหุ้น Value investment ระดับโลก ผู้ซึ่งเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลกที่ยังมีชีวิตอยู่ ปู่บัฟเฟตต์มักจะ “เลือกหุ้น” บริษัทที่ดีในราคาที่ถูก และถือหุ้นตัวนั้นไปตลอดชีวิต ตราบใดที่ปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

นักลงทุนที่ดีก็เปรียบเสมือนกับการเป็นนักพยากรณ์คาดการณ์อนาคต ที่ต้องการรู้ว่าสินค้าและบริการแบบใดบ้าง จะได้รับความนิยมและขายดิบขายดีในอนาคต แต่ไม่เท่านั้นนักลงทุนสาย VI ที่แท้ทรูจะมุ่งความสนใจไปที่โอกาสในการทำกำไรของบริษัทนั้นๆ ด้วยการถือครองหุ้นหรือบริษัทที่มีความมั่นคงแข็งแรงไปตลอด เพื่อสร้างผลตอบแทนในการลงทุนในระยะยาว

หลักการสำคัญในการ “เลือกหุ้น” ดีมีอนาคตไกล คืออะไร ? 

1. เลือกบริษัทที่มีสินค้าและบริการที่มีความยั่งยืน

นักลงทุนหุ้นแนว VI ที่ดี มักจะไม่ชอบการซื้อขายหุ้นอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากมีเรื่องค่าคอมมิชชั่น ค่าภาษี ซึ่งจะเป็นภาระต้นทุนที่สูงที่นักลงทุนมักจะมองข้ามไป นักลงทุนควรมองบริษัทที่มีธุรกิจที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นตัวสินค้าหรือบริการต่างๆ ที่มีความสามารถตอบสนองความต้องการของผู้คนต่อไปได้ในอีกหลายสิบปี !

วิธีคิดที่น่าสนใจ อย่างกรณีศึกษา สมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็น iOS Andriod หรือโซเชียลเน็ตเวิร์คอย่าง Facebook LINE หรือ Wechat ประเด็นที่น่าสนใจต่อไป คือ บริษัทผลิตสมาร์ทโฟนหรือผู้สร้างแพลตฟอร์มต่างๆเหล่านี้ต้องคอยพัฒนาสินค้าและบริการเพื่อปรับตัวอย่างต่อเนื่องทุกๆปี ไว้ใช้มัดใจลูกค้าให้ได้ แต่ก็ไม่แน่ว่าอีก 10-20 ปีข้างหน้า เราอาจจะมีแพลตฟอร์มใหม่ๆ เกิดขึ้นอีกมากมายก็เป็นได้ แพลตฟอร์มไหนเจ๋งกว่า สะดวกกว่า ใช้งานได้ดีกว่าจริงๆ คนก็พร้อมย้ายไปใช้รุ่นใหม่ได้ไม่ยากเย็น

แม้แต่ตัวอย่างในบ้านเราเอง สมัยก่อนคนก็นิยมใช้มือถือโนเกียกันมาก แต่สมัยนี้ก็เปลี่ยนมาเป็นไอโฟนกัน หรือสมัยก่อนคนจะมาเล่น MSN กันในคอมพิวเตอร์เพื่อออนไลน์คุยกัน แต่สมัยนี้ก็มาเล่น Facebook คุยแชทผ่าน LINE กันแทนหมดแล้ว เรียกได้ว่าเทคโนโลยีเข้ามา Disrupt ทุกอย่าง ที่ล้าสมัยและปรับตัวไม่ทันต่อโลกยุคใหม่

คำถามสำคัญที่ควรตั้งเอาไว้ก่อนตัดสินใจลงทุนในบริษัทใดๆก็ตาม คือเทคโนโลยีจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้สินค้าและบริการหรือไม่

พี่ทุยขอยกตัวอย่างสุดคลาสสิค อย่างหุ้นโคคาโคล่าหรือโค้ก ที่เป็นแบรนด์น้ำดื่มชั้นนำของโลกที่ได้รับความนิยมมาเป็นร้อยปี ผ่านการพิสูจน์มาแล้วมาเป็นเวลายาวนาน คนทุกยุคทุกสมัยก็ยังมีความต้องการดื่มโค้กกันอยู่ แต่บริษัทก็ยังสามารถแตกไลน์สินค้า ผลิตเป็นโค้กสูตรต่างๆ อยู่ตลอดเวลา เช่น สูตรไม่มีน้ำตาล สูตรใหม่ๆที่จะจับตลาดคนรุ่นใหม่มากขึ้น

เรื่องนี้สะท้อนได้ว่าเทคโนโลยีไม่ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงคนที่ดื่มโค้ก คนชอบดื่มน้ำอัดลมก็ยังคงดื่มต่อไป

ดังนั้นการลงทุนหุ้นแนว VI ให้เรามองหาธุรกิจที่มีสินค้าและบริการที่มีความยั่งยืน และสามารถคาดการณ์ต่อไปได้ในระยะยาวอีกหลายสิบปี ว่าคนจะยังซื้อสินค้าของบริษัทอยู่ต่อไป

2. เลือกหุ้นโดยคำนึงถึงการจ่ายภาษี

การสร้างความมั่งคั่ง ไม่ได้มองกันเพียงด้านเดียวเท่านั้น คือ แค่เพียงการแสวงหาวิธีสร้างรายได้และกำไรที่มากที่สุด แต่เหรียญยังมีอีกด้านหนึ่งในเรื่องของการลดรายจ่ายให้น้อยที่สุดด้วยเช่นกัน รายจ่ายก้อนใหญ่ของคนทั่วไป คือ รายจ่ายด้านภาษี เรื่องที่คนคิดว่าไม่เยอะนี่แหละ แต่พอรวมกันแล้วเป็นตัวเลขที่ทำให้เราตกใจได้เลยทีเดียว โลกของการลงทุนก็เช่นเดียวกัน เรื่องภาษีของธุรกิจมีความสำคัญไม่แพ้กับการสร้างกำไรของบริษัท

ข้อมูลเพิ่มเติม กฎหมายตลาดหลักทรัพย์ของตลาดหุ้นในอเมริกา หากขายหุ้นได้กำไรต้องมีการเสียภาษี หรือที่เรียกว่าภาษีส่วนต่างเงินลงทุน (Capital Gian Tax) ซึ่งไม่เหมือนกับในประเทศไทย ที่ส่วนต่างของราคาหุ้นยังไม่เก็บภาษี)

สิ่งที่น่าสนใจไว้เป็นกรณีศึกษา การขายหุ้นในระยะสั้นต่ำกว่า 1 ปี ในตลาดหุ้นสหรัฐฯจะเสียภาษีสูงกว่าการถือหุ้นที่ถือมานานกว่า 1 ปี ด้วยแนวคิดนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องที่ต้องเสียภาษีเท่านั้น แต่มันยังส่งผลกระทบไปถึงพลังของการทบต้นของอัตราผลตอบแทนด้วยเช่นกัน ลองคิดดูว่าถ้าเราชิงขายหุ้นออกมาเร็วแล้ว หุ้นมันก็จะทบต้นเติบโตได้ไม่มากเท่าที่ควร หรือลดทอนพลังของผลตอบแทนที่เราควรจะได้รับให้น้อยลงนั่นเอง เพราะฉะนั้นแล้ว นี่ถือเป็นอีกหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำหรับของปู่บัฟเฟตต์ ที่มุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนและมีอนาคตในระยะยาว และยังคำนึงการจ่ายภาษีให้น้อยที่สุด และประกอบกับการลงทุนระยะยาว เพื่อให้เกิดพลังของอัตราผลตอบแทนทบต้นสูงยิ่งขึ้น

แต่ยังไงก็ตาม พี่ทุยขอบอกข้อควรระวังในการเลือกหุ้นแบบนี้สักหน่อยว่า เวลาเราพิจารณาการลงทุน ควรจะวิเคราะห์ก่อนว่า เทคโนโลยีจะเข้ามาเปลี่ยนแปลงปริมาณความต้องการเหล่านี้หรือไม่ ถ้ามีโอกาสเกิดขึ้น เราก็ควรหลีกเลี่ยงหรือให้รู้ไว้ว่าธุรกิจประเภทนี้มีความเสี่ยงที่ต้องแบกรับมากขึ้นนะ หรืออย่ามั่นใจการลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งมากจนเกินไป จนทุ่มหมดตัวแบบนั้นก็จะมีความเสี่ยงสูงได้เช่นกัน แม้ว่าบริษัทจะดีจริงๆต่อไปในอนาคต แต่บางทีตลาดหุ้นหรือภาวะเศรษฐกิจอาจจะซบเซาอยู่ อาจส่งผลกระทบไปถึงหุ้นได้ จึงควรมีการกระจายความเสี่ยงในการลงทุนไปในสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ ด้วย

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย