ปัญหาคนที่เล่นหุ้นไทยอยู่ทุกวันนี้พี่ทุยว่าต้องเจอปัญหาเดียวกันแน่ๆ ก็คือตลาดหุ้นบ้านเราตอนนี้ไม่ไปไหนมาไหนเลย
ตั้งแต่ปี 2013 ตลาดหุ้นไทยบ้านเราปรับระดับอยู่ที่แถวๆ 1,600 จุด แล้วหลังจากนั้นก็ปรับตัวลงไป พอปลายๆปี 2014 ก็กลับขึ้นมาแถว 1,600 จุดอีกรอบ แล้วก็ร่วงไป มาแถวๆครึ่งปี 2017 ก็กลับมาอยู่ที่ 1,600 อีกครั้ง จะเห็นได้ว่าถ้าใครไปจัดหุ้นมาแถวๆยอดดอยหรือซื้อกองทุนดัชนี (Passive Fund) ก็แทบจะไม่ได้กำไรเลยก็ว่าได้ ทีนี้เราลองมาดูตลาดหุ้นบ้านอื่นๆกันบ้างว่าเป็นยังไงในช่วงเวลาเดียวกัน
S&P500 : ตลาดหุ้นอเมริกา
Nekkei 225 : ตลาดหุ้นญี่ปุ่น
Euro Stoxx 600 : ตลาดหุ้นยุโรป
* ขอบคุณที่มา investing.com วันที่ 14 ก.ค. 2017 *
อันนี้เป็นแค่ตัวอย่างตลาดหุ้นที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก และมีบริษัทที่เรารู้จักเยอะแยะจดทะเบียนอยู่ในตลาดโลก จะเห็นได้ว่าช่วง 5 ปีที่ผ่านมาก็ขยับปรับตัวกันขึ้นมาได้ตลอด และมีโอกาสที่อยู่นอกเหนือตลาดหุ้นบ้านเราอยู่หลากหลายตลาดเลย
ปัจจุบันตลาดหุ้นบ้านเราจะเอามูลค่าหุ้นทุกตัวมารวมกันก็มีมูลค่าประมาณ 15,600,000 ล้านบาท อ่านว่า สิบห้า-ล้าน-ล้าน อะหื้ออออ พี่ทุยว่าก็ไม่น้อยเลยนะเป็นปริมาณที่เยอะอยู่เหมือนกัน
แต่ลองมาดูบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกคือ Apple หรือบริษัทที่เป็นคนผลิต iPhone ออกมาให้เราใช้เนี้ยแหละ ตอนนี้มีมูลค่าอยู่ประมาณ 800 พันล้านดอลล่าร์ หรือ 800,000 ล้านดอลล่าร์ ถ้าแปลงเป็นเงินไทยก็เท่ากับ 27,200,000 ล้านบาท
จะเห็นว่าแค่หุ้นตัวเดียวของตลาดอเมริกาก็มีมูลค่าที่ใหญ่ว่าตลาดบ้านเราทั้งตลาดเกือบ 2 เท่าตัว ก็เลยเป็นเหตุผลว่าทำไมต่างประเทศเค้าเลยมองว่าตลาดหุ้นบ้านเราเป็นตลาดที่เสี่ยงสูง เพราะถ้าตลาดหุ้นบ้านเรามีเงินทุนไหลเข้าไหลออกก็ทำให้ตลาดผันผวนสูงได้เลยในทันที
ช่วงที่ผ่านมาเงินทุนไหลออกจากประเทศไปด้วยหลากหลายปัจจัย ซึ่งพี่ทุยขอไม่พูดถึงละกัน และธรรมชาติของตลาดหุ้นไทยก็พึ่งพาเงินลงทุนจากต่างชาติมาช่วยดันตลาดอยู่พอสมควร
ถ้าถามพี่ทุยว่าควรกระจายการลงทุนไปตลาด “หุ้นต่างประเทศ” มั้ย ?
พี่ทุยว่ายังไงก็ควร เพราะที่ช่วงเงินลงทุนไหลออกไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือตราสารหนี้ก็ตาม ก็มักจะให้ผลตอบแทนที่ไม่ดี แต่ถ้าเรามีการกระจายการลงทุนไปในภูมิภาคอื่นๆด้วย ในช่วงที่ตลาดไทยไม่ไปไหน ก็ยังมีสัดส่วนการลงทุนในที่อื่นมาช่วยทำให้พอร์ตเราดูดีขึ้นมาได้
สุดท้ายแล้วการกระจายการลงทุนที่ดี ไม่ใช่แค่กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลายเท่านั้น เราต้องคำนึงถึงการลงทุนในภูมิภาคที่แตกต่างกัน ออกไปด้วย ถึงจะเรียกว่าเป็นการกระจายการลงทุนที่ดี