ถ้าเกิดอุบัติเหตุ ล้มป่วย ต้องใช้เงินฉุกเฉินขึ้นมาจะทำไง พี่ทุยบอกให้เลยว่าเราควรทำ “ประกัน” ไว้เป็นดีที่สุด แต่การทำประกันนั้นมีหลากหลายแบบให้เลือก ทั้งประกันสุขภาพ ประกันบ้าน ประกันเดินทาง ประกันอุบัติเหตุ แต่จะให้ทำประกันทุกอย่างที่พูดมา พี่ทุยว่าเงินในกระเป๋าคงไม่พอใช้ในแต่ละวันแน่
แต่ก่อนที่เราจะเลือกทำ “ประกัน” อะไรก็ตาม ก่อนอื่นเลยเราต้องมาทำความรู้จักก่อนว่า ประกันชีวิตนั้นแบ่งเป็นกี่ประเภทอะไรบ้าง ซึ่งพี่ทุย ขอแบ่งประเภทอย่างคร่าวๆ ดังต่อไปนี้
1. term life insurance หรือประกันแบบช่วงระยะเวลา
ประกันดังกล่าว ซึ่งเงื่อนไขในการจ่ายเงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ ต่อเมื่อผู้ที่ทำประกันเสียชีวิตภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่น 5 ปี, 10 ปี โดยให้ความคุ้มครองจากการเสียชีวิตเพียงอย่างเดียว ไม่มีการสะสมทรัพย์ ดังนั้นเมื่อครบกำหนดสัญญาจะไม่มีการนำเงินคืนแก่ผู้ทำประกัน
2. Whole life Insurance หรือประกันตลอดชีพ
ความหมายก็เป็นไปตามชื่อนั่นแหละ ประกันตัวนี้จะคุ้มครองผู้ทำประกันไปตลอดชีวิต โดยเงื่อนไขการจ่ายเงินในกรณีที่เสียชีวิตจะเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด ถ้าเอี้ยงประกันภัย ให้ความคุ้มครองถึงอายุ 99 ปี เมื่อพี่ทุยที่ทำประกันกับเอี้ยงไว้ มีอายุถึง 99 ปี บริษัทก็จะจ่ายเงินตามจำนวนที่ได้ทำการตกลงกันไว้ให้แก่ผู้ทำประกันนั่นเอง
3. Endowment Insurance หรือประกันแบบสะสมทรัพย์
ประกันประเภทนี้จะออกแบบมาให้ผู้ทำประกันจ่ายเบี้ยประกันเรื่อย ๆ เหมือนออมเงิน และจะจ่ายเงินคืนตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญา โดยในระหว่างระยะเวลาประกัน ก็จะมีความคุ้มครองแถมมาด้วย และถ้ากรณีที่ผู้ถือกรมธรรม์เสียชีวิตระหว่างสัญญา ก็จะได้รับเงินก้อนหนึ่งที่เรียกว่าจำนวนเงินเอาประกันอีกด้วย
4. Annuity Insurance หรือประกันเงินได้ประจำ
เป็นการประกันชีวิตที่ผู้ทำประกันต้องการรายได้ในวัยเกษียณมากกว่าการคุ้มครองชีวิต โดยบริษัทจะจ่ายเงินเป็นงวด นับตั้งแต่สัญญาครบกำหนด เมื่อผู้ทำประกันยังมีชีวิตอยู่ถึงวันที่ครบสัญญา บางแห่งก็มีประกันพิเศษที่พ่วงการลงทุน เข้าไปด้วย
ควรเลือกประกันแบบไหนที่ให้เหมาะกับช่วงชีวิตของเราบ้าง ?
1. ช่วงวัยทำงานตอนต้น (21-30 ปี)
เหมาะกับการทำประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์เพื่อสร้างวินัยในการออม รวมถึงได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีด้วย และหากทำงานเก็บเงินไปได้สักระยะ ลองดูการทำประกันชีวิตที่ได้ความคุ้มครองระยะยาวเพิ่มเติมด้วย เช่นแบบตลอดชีพ เพื่อนำไปผูกไว้กับประกันสุขภาพ จะได้ไม่ต้องกังวลในวันที่ไม่มีสวัสดิการจากที่ทำงานมาช่วยเรื่องค่ารักษาพยาบาล ซึ่งประกันสุขภาพส่วนใหญ่จะคุ้มครองถึงอายุ 70 – 85 ปี แล้วแต่กรมธรรม์
2. ช่วงวัยทำงานตอนกลางและเริ่มสร้างครอบครัว (31-45 ปี)
ก็ควรทำประกันชีวิตแบบเน้นความคุ้มครองชีวิต เพื่อป้องกันความเสี่ยงในกรณีที่หัวหน้าครอบครัวเกิดเสียชีวิตไปอย่างกะทันหัน ซึ่งสามารถซื้อประกันสุขภาพที่พ่วงประกันชีวิต เพื่อให้ประกันสุขภาพมีผลต่อเนื่องคุ้มครองยาวนานตามไปด้วยนั่นเอง นอกจากนั้น อาจจะพิจารณาทำประกันชีวิตควบการลงทุนแบบจ่ายเบี้ยรายงวด (Regular Premium : RP) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนการศึกษาบุตร ลูกก็จะได้มีเงินจากทุนประกันชีวิตไว้เป็นค่าเล่าเรียนจนจบการศึกษานั่นเอง
3. ช่วงวัยทำงานตอนปลายจนถึงเวลาเกษียณ (46-60 ปี)
ก็ควรทำประกันชีวิตแบบบำนาญ เพื่อสร้างเงินไว้ใช้หลังเกษียณส่วนหนึ่ง ควบคู่กับเงินออมเงินลงทุนในเครื่องมืออื่น ๆ (RMF SSF กองทุนรวม หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจากบริษัท) เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีเงินไว้ใช้หลังเกษียณอย่างเพียงพอ
กดติดตามพี่ทุยไว้นะ มีเรื่องราวของประกันจะเล่าให้ฟังอีกเพียบเลยการทำ“ประกัน”เป็นเรื่องของการวางแผนของระยะยาว วางแผนยิ่งเร็วยิ่งได้เปรียบ
Comment