รู้จัก Watsons จากร้านขายยาเล็ก ๆ สู่ธุรกิจค้าปลีกความงามและสุขภาพรายใหญ่ของโลก

รู้จัก Watsons จากร้านขายยาเล็ก ๆ สู่ธุรกิจค้าปลีกความงามและสุขภาพรายใหญ่ของโลก

4 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • A.S.Watson Groupเริ่มกิจการร้านขายยาในกวางตุ้ง แล้วย้ายไปเติบโตในฮ่องกง ขยายตลาดไปฟิลิปปินส์และจีน แต่ล้มเหลวและต้องล้มเลิกกิจการไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
  • ปี 1981 Hutchison Whampoa ซื้อกิจการของ A.S.Watson มีการขยายตลาดไปในสิงคโปร์ จีน มาเลเซีย ไทย ฟิลิปปินส์ และในศตวรรษที่ 21 A.S.Watson เริ่มเข้าไปซื้อกิจการร้านค้าปลีกในยุโรปอย่าง Savers, Kruidvat, Rossman, Perfume Shop, Marionnaud
  • ปี 2022 A.S.Watson Group มีร้านค้าปลีกรวม 16,398 ร้านใน 28 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมตลาดค้าปลีกด้านความงามและสุขภาพส่วนใหญ่ของทั้งเอเชียและยุโรป รวมถึงเป็นร้านค้าปลีก Health&Beauty ที่มีสาขาและรายได้มากที่สุดในไทย

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ปัจจุบันความสวยความงามและการมีสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งที่เราต่างใส่ใจเป็นพิเศษ ธุรกิจด้านความงามและสุขภาพก็เติบโตขึ้นทุกปี โดยหากเรามองไปรอบตัว แบรนด์ร้านค้าต้น ๆ ที่เราจะเดินเข้าไปซื้อสินค้าเหล่านี้คือ Watsons ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกด้านความงามและสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในไทย มีสาขากว่า 700 สาขา แต่ Watsons ที่อยู่ใต้บริษัท A.S.Watson Group ไม่ได้โตเพียงแค่ในไทยเท่านั้น ในต่างประเทศโดยเฉพาะยุโรปและเอเชีย

A.S.Watson Group ก็เป็นเจ้าพ่อผู้ครองตลาดด้านนี้เหมือนกัน  จากอดีตที่เป็นเพียงร้านขายยาเล็กๆ จนปัจจุบันก้าวมาเป็นบริษัทระดับโลกได้ยังไง ครั้งนี้พี่ทุยจะมาถอดรหัสเรื่องราวความสำเร็จของ A.S.Watson Group ให้ทุกคนได้รู้กัน…

Watsons เริ่มต้นจากร้านขายยาเล็ก ๆ

ชื่อของ Watson แน่นอนว่ามาจากชื่อของคนก่อตั้ง คือ “โทมัส บอสเวลล์ วัตสัน (Thomas Boswell Watson)” ซึ่งเป็นหมอสกอตแลนด์ แต่เดินทางมาใช้ชีวิตที่จีนเมื่อปี 1828 และเปิดร้านขายยาของตัวเองในกวางตุ้ง แต่ในเวลาต่อมาจีนเกิดมีปัญหากับอังกฤษในสงครามฝิ่นครั้งที่ 1 ซึ่งจีนก็แพ้ไป ทำให้อังกฤษเข้ายึดเกาะฮ่องกง ตระกูลวัตสันเห็นโอกาสเลยย้ายร้านขายยาตัวเองไปเปิดในฮ่องกงเมื่อปี 1841

ร้านของวัตสันที่เน้นขายยาของตะวันตกเริ่มขายดีมากขึ้น เพราะเมื่ออังกฤษเข้าควบคุมฮ่องกง คนตะวันตกก็หลั่งไหลเข้ามาและอุดหนุนร้านยาของวัตสันจนธุรกิจทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำและเริ่มขยายสาขาในฮ่องกง แต่ในปี 1858 โทมัสก็ย้ายไปใช้ชีวิตบั้นปลายที่อังกฤษ แล้วให้หลานชายชื่อ “อเล็กซานเดอร์ วัตสัน (Alexander Watson)” สืบทอดธุรกิจต่อ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างบริษัทค้าปลีกแบบจริงจังนั่นเอง

ก้าวถัดไปสู่บริษัทในฮ่องกง

หลังโทมัสเสียชีวิต อเล็กซานเดอร์กับเพื่อนอีก 2 คนก็เข้ามาเป็นเจ้าของร้านขายยาในฮ่องกงแบบสมบูรณ์ และเริ่มตั้งชื่อ A.S.Watson เพื่อให้คนจดจำในปี 1871 และคราวนี้ไม่ใช่แค่ขายยาอย่างเดียว แต่ยังมีการซื้อโรงงานผลิตน้ำอัดลมแล้วเอามาขายเป็นสินค้าในร้านขายยาอีกที ทำให้จากร้านขายยาก็กลายไปเป็นบริษัทที่มีแนวทางชัดเจนว่าจะขยายธุรกิจให้ใหญ่กว่าเดิม

คราวนี้ในปี 1881 A.S.Watson Group ก็สร้างโรงงานผลิตยาของตัวเองในฮ่องกง และเริ่มขยายตลาดไปเปิดร้านขายยาค้าปลีกแบรนด์ Watsons ในฟิลิปปินส์และจีน

ซึ่งเมื่อเข้าสู่ช่วงปี 1900 A.S.Watson Group ก็มีร้านขายยากว่า 100 แห่ง พร้อมโรงงานผลิตทั้งยา น้ำอัดลม น้ำดื่ม เครื่องสำอาง และน้ำหอมในฮ่องกง จีน และฟิลิปปินส์ มีแคตตาล็อกสินค้าในตอนนั้นให้เลือกกว่า 300 รายการ

ดู ๆ แล้ว เหมือนธุรกิจของ A.S.Watson Group จะติดปีกพุ่งทะยานอย่างสวยงาม แต่พี่ทุยบอกได้เลยว่ามันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น มีแค่ธุรกิจในฮ่องกงเท่านั้นที่ไปได้สวย เพราะฮ่องกงที่ถูกอังกฤษเข้ามาคุมเลยมีวัฒนธรรมออกแนวตะวันตกและมีฝรั่งอยู่เยอะ สินค้าของ A.S.Watson Group เลยตอบโจทย์กับฐานลูกค้า

แต่ฟิลิปปินส์ที่ในตอนนั้นเพิ่งจะเป็นอาณานิคมของสหรัฐฯ ทำให้วัฒนธรรมแบบอเมริกันยังไม่ได้เข้าถึงคนฟิลิปปินส์มาก และในจีนที่แทบไม่นิยมยาหรือสินค้าแบบตะวันตกเลย ทำให้ธุรกิจ A.S.Watson Group ใน 2 ประเทศนี้ขาดทุนอย่างหนัก จนถึงขั้นต้องปิดกิจการในฟิลิปปินส์และปิดโรงงานบางส่วนในจีน 

อีกทั้งเมื่อเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นบุกจีนและฮ่องกง ทำให้ A.S.Watson Group ก็ถูกยึดกิจการทั้งหมด และบริษัทก็ล่มไปในปี 1941

แต่หลังสงครามจบลงในปี 1945 A.S.Watson Group ก็กลับมาเปิดร้านขนาดย่อมอีกครั้งในฮ่องกง ซึ่งธุรกิจก็เริ่มตั้งตัวได้ แต่โตค่อนข้างช้าเพราะไม่มีเงินทุน ซึ่งในตอนนี้ดูเหมือนว่า A.S.Watson Group เดินมาถึงทางตัน และมีบริษัทในฮ่องกงที่กำลังโตอย่าง Hutchison Whampoa สนใจธุรกิจของ A.S.Watson Group เลยเริ่มเข้ามาซื้อกิจการตั้งแต่ปี 1963

และนี่ ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ A.S.Watson Group จะก้าวทะยานไปสู่ระดับโลก…

ยุคของ Hutchison และการขยายตลาด

ก่อนอื่นพี่ทุยขอเล่าถึง Hutchison Whampoa เล็กน้อย โดยบริษัทที่ว่านี้เป็นบริษัทที่โตมาจากการเป็นเจ้าของโทรคมนาคมในฮ่องกง และยังไปลงทุนซื้อธุรกิจอื่น ๆ อย่างท่าเรือ โรงแรม และพลังงาน ซึ่งเวลาต่อมามีการรวมบริษัทกับ Cheung Kong Holdings และใช้ชื่อว่า CK Hutchison Holdings โดยในปัจจุบันถือเป็นบริษัทระดับ Top10 ของฮ่องกงเลยทีเดียว

และในปี 1960 Hutchison เล็งว่าเรื่องความงามและสุขภาพอาจเป็นเทรนด์ที่มาแรงในอนาคต เลยมองหาบริษัทที่ค้าปลีกสินค้าประเภทนี้ ซึ่งหวยก็ไปล็อกที่ A.S.Watson Group อย่างที่เรารู้กันนั่นเอง โดย Hutchison ก็เข้ามาซื้อ A.S.Watson Group จนเป็นเจ้าของแบบสมบูรณ์ในปี 1981

คราวนี้หลังจาก A.S.Watson Group เป็นบริษัทเครือของ Hutchison ก็เริ่มมีเงินทุนขยายธุรกิจของตัวเอง เปิดสาขาในต่างประเทศ

  • ไต้หวัน มาเก๊าในปี 1987 
  • สิงคโปร์ในปี 1988
  • จีนในปี 1989
  • มาเลเซียในปี 1994
  • และไทยในปี 1996 

ซึ่งรวมแล้วมีร้านค้าปลีกในชื่อของ Watsons กว่า 75 แห่ง

และเมื่อเข้าสู่ช่วงศตวรรษที่ 21 A.S.Watson Group ต้องการขยายตลาดของตัวเองเข้าไปในยุโรป ซึ่งเลือกกลยุทธ์โดยเข้าไปลงทุนซื้อกิจการหรือซื้อหุ้นของบริษัทค้าปลีกที่มีฐานแข็ง ๆ พอตัวอยู่แล้วในประเทศต่าง ๆ ของยุโรป 

ในปี 2000 A.S.Watson Group ก็เริ่มซื้อกิจการร้านค้าปลีกด้านความงามและสุขภาพที่ชื่อว่า Savers ซึ่งมี 176 สาขาในอังกฤษ โดยหลังจาก Watsons เข้ามาคุม ก็ขยายไปถึง 400 สาขาในปี 2006

ปี 2002 ซื้อกิจการของ Kruidvat ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกในเนเธอแลนด์และเบลเยียม โดยหลังจาก Watsons เข้ามา ก็ขยายร้าน Kruidvat ไปถึง 1,200 สาขาทั่วยุโรป

ในปี 2004 เข้าไปซื้อหุ้น 40% ของบริษัท Rossman ซึ่งในปัจจุบันเป็นบริษัทค้าปลีกด้านความงามและสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป มี 4,000 สาขา ในเยอรมนี โปแลนด์ สเปน เช็ก อัลเบเนีย ตุรกี และโคโชโว

ปี 2005 ซื้อกิจการของ The Perfume Shop ร้านน้ำหอมรายใหญ่ในอังกฤษและสกอตแลนด์

ปี 2006 ซื้อกิจการของ Marionnaud ร้านเครื่องสำอางในฝรั่งเศส

โดยพี่ทุยสามารถสรุปธุรกิจที่อยู่ภายใต้ A.S.Watson Group ได้ดังนี้

1. ร้าน Watsons เป็นร้านค้าปลีกที่เน้นตลาดในเอเชียอย่างจีน ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวัน สิงคโปร์ ไทย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์

2. ร้าน Savers H&B และ Perfume Shop เป็นร้านค้าปลีกที่เน้นตลาดในอังกฤษ

3. ร้าน Kruidvat เป็นร้านค้าปลีกที่เน้นตลาดในเบลเยียมและเนเธอร์แลนด์

4. ร้าน Rossman เป็นร้านค้าปลีกที่ Watsons เป็นเจ้าของ 40% เน้นตลาดในยุโรป

5. ร้าน Marionnaud เป็นบริษัทเครื่องสำอางและร้านค้าปลีก เน้นตลาดในฝรั่งเศส และส่งออกเครื่องสำอางไปร้านค้าปลีกอื่น ๆ ในเครือ A.S.Watson Group

สรุปแล้ว ในปี 2022 A.S.Watson Group มีร้านค้าปลีกรวม 16,398 ร้านใน 28 ประเทศทั่วโลก โดยครอบคลุมตลาดค้าปลีกด้านความงามและสุขภาพส่วนใหญ่ของทั้งเอเชียและยุโรป

Watsons ในฐานะ Super brands ของไทย

อย่างที่รู้กัน ร้านค้าปลีกสุขภาพและความงามที่มีเกลื่อนแทบทุกจังหวัดในไทยคือ Watsons ซึ่งในปี 2022 มีถึง 700 สาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ โดยเริ่มสาขาแรกที่ตึกมณียาเซนเตอร์เมื่อปี 1996 ซึ่งเป็นร้านค้าปลีกความงามและสุขภาพแรก ๆ เลย ที่เปิดในไทย รวมถึงเป็นแบรนด์ที่มั่นคงจนถูกยกให้เป็นหนึ่งใน Super brands ของไทย โดยได้รางวัลนี้ถึง 13 ปีติดต่อกัน 

คราวนี้ พี่ทุยจะลองเปรียบเทียบ Watsons กับร้านค้าปลีกความงามและสุขภาพแบรนด์อื่น ๆ ที่อยู่ในไทย เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพรวมได้ง่ายขึ้น

รู้จัก Watsons จากร้านขายยาเล็ก ๆ สู่ธุรกิจค้าปลีกความงามและสุขภาพรายใหญ่ของโลก

จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน Watsons ยังคงครองตลาดค้าปลีกความงามและสุขภาพส่วนใหญ่ในไทย มีสาขามากที่สุด และรายได้สูงที่สุดในปี 2021

เทรนด์ Health&Beauty (H&B) กับการเติบโตของ A.S.Watson Group

เราได้เห็นการครองตลาดของ A.S.Watson Group ทั้งในยุโรป เอเชีย หรือแม้กระทั่งในไทยไปแล้ว คราวนี้เราลองมาดูกลยุทธ์ที่ทำให้ A.S.Watson Group เติบโตกันบ้าง

ในศตวรรษที่ 21 ความสวยงามและสุขภาพถือเป็นเรื่องสำคัญจนเป็นเทรนด์ที่คนส่วนใหญ่หันมาใส่ใจมากกว่าในอดีต เพราะภาพลักษณ์และบุคลิกภาพที่ดีเป็นส่วนสำคัญในการใช้ชีวิตของคนในยุคนี้ค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือการเข้าสังคม

จึงทำให้ A.S.Watson Group เติบโตอย่างต่อเนื่องตามไปด้วย อย่างที่เราได้เห็นไปคือการขยายตลาดขนานใหญ่ของ A.S.Watson Group ทั้งในเอเชียและยุโรป

แต่เทรนด์ Health & Beauty หรือ H&B ก็สะดุดลงเมื่อเจอวิกฤตโควิด-19 โดยเฉพาะตลาดของเครื่องสำอางที่ลดลงไปถึง 28% เพราะคนแต่งหน้าน้อยลงและต้องใส่แมสก์มากขึ้น  ซึ่งแน่นอนว่าส่งผลต่อรายได้ของ A.S.Watson Group จากปี 2019 ที่ทำรายได้ไป 2.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เจอวิกฤตไวรัสในปี 2020 ทำรายได้ลดลงไปอยู่ที่ 2 หมื่นล้านดอลลาร์ 

แต่ทว่าในปี 2021 รายได้ของ A.S.Watson Group กลับดีดขึ้นมาถึง 2.2 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงที่สุดในรอบ 5 ปี เป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อที่ A.S.Watson Group ฟื้นตัวได้เร็วมากแถมยังทำกำไรมากกว่าก่อนโควิด-19 

ทำไม A.S.Watson Group ถึงทำรายได้พุ่งขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ? 

นั่นก็เพราะ ปี 2018 A.S.Watson Group มีการปรับตัวเข้าสู่ตลาด E-Commerce ไปก่อนเกิดวิกฤตแล้ว ไม่ว่าจะเป็นร้าน Watsons ในเอเชียที่มีแพลตฟอร์ม O+O และร้านค้าปลีกในยุโรปทั้ง Savers, Kruidvet, Rossman ที่เริ่มสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ของตัวเอง ถึงแม้ในตอนแรกที่ไวรัสระบาดหนักอาจทำให้รายได้ลดลงไปบ้าง

แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2021 ที่สถานการณ์เริ่มดีขึ้นและพฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนไปเพราะไวรัส การมีฐานของแพลตฟอร์มออนไลน์และเปลี่ยนมาโฟกัสตลาดด้านนี้ มีการพัฒนาลูกเล่นให้หลากหลายมากขึ้น เช่น ColourMe ที่เป็นฟีเจอร์การลองใช้เครื่องสำอางแต่งหน้าออนไลน์ ทำให้แพลตฟอร์มออนไลน์ของ Watsons ค่อนข้างตอบโจทย์กับตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเพราะวิกฤต และกลับมาทำกำไรสูงสุดได้ในปี 2021 นั่นเอง

หรือแม้กระทั่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โลกกำลังเข้าสู่เทรนด์รักษ์สิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดกลุ่มลูกค้าที่เรียกว่า Eco-Actives ที่เลือกซื้อสินค้าเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยกลุ่มนี้มีประมาณ 22% ในปี 2022 และมีแนวโน้มโตขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ซึ่ง Eco-Actives มีมากที่สุดในยุโรป  

A.S.Watson Group เลยเริ่มมีการเปลี่ยนไปสร้างสินค้าที่เป็นวัสดุรีไซเคิลแบบ 100% ในร้านใหญ่ๆ อย่าง Savers, Kruidvat และ Rossman ทำให้ดึงดูดลูกค้า Eco-Actives ในยุโรปได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

เรียกได้ว่า จากร้านขายยาในฮ่องกงที่ขยายตลาดไปต่างประเทศแล้วล้มเหลว แถมยังล่มไปเพราะสงคราม แต่มีการฟื้นตัวขึ้นมาใหม่แล้วเข้าไปอยู่ภายใต้บริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง CK Hutchison Holdings แล้วขยายตลาดอีกครั้งในเอเชียและยุโรป แถมยังปรับตัวตามเทรนด์ของโลกและพฤติกรรมของผู้บริโภคในตลาดแต่ละยุคสมัยได้เป็นอย่างดี

พี่ทุยเลยมองว่า A.S.Watson Group ถือเป็นบริษัทค้าปลีกที่แข็งแกร่งเป็นอันดับต้น ๆ ของโลกในตอนนี้และยังมีโอกาสเติบโตต่อไปในอนาคต

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile