รู้จัก ลาสเวกัส (Las Vegas) จากเมืองกันดารสู่มหานครแห่งคาสิโน

รู้จัก ลาสเวกัส (Las Vegas) จากเมืองกันดารสู่มหานครแห่งคาสิโน

4 min read  

ฉบับย่อ

  • ลาสเวกัสในอดีตเป็นชุมชนบนเส้นทางการค้าและฐานทัพชั่วคราวของทหารสหรัฐฯ ต่อมาในปี 1905 เป็นเมืองทางผ่านของรถไฟสายลอสแอนเจลิส – ซอลต์เลกซิตี้ มีนักลงทุนเข้ามาลงทุนในธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิง รวมถึงคาสิโนผิดกฎหมาย
  • ในปี 1929 เกิด The Great Depression รัฐบาลสหรัฐฯ มีโปรเจกต์สร้างเขื่อนฮูเวอร์เพื่อให้คนมีงานทำ ทำให้มีคนหลั่งไหลเข้ามาใช้บริการธุรกิจกลางคืนของลาสเวกัสเพราะอยู่ใกล้กับเขื่อน เลยมีการจัดโซน Freemont Street เพื่อสร้างคาสิโนถูกกฎหมายขึ้น และในปี 1941 ก็มีโซน Las Vegas Strip ตามมา ซึ่งทั้งสองพื้นที่ล้วนกลายเป็น Downtown ของเมืองในปัจจุบัน
  • ลาสเวกัส กลายเป็นศูนย์รวมความบันเทิงของประเทศ มีนักท่องเที่ยวเฉลี่ยปีละ 20 ล้านคน ทำให้มีรายได้หลัก 3 ส่วน ได้แก่ คาสิโน การท่องเที่ยว และการจัดประชุม อีกทั้งยังเป็นเมืองต้นแบบการพนันที่ถูกกฎหมายของโลก

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

การเสี่ยงโชคหรือพนันเป็นกิจกรรมที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มาอย่างยาวนาน แต่การเดิมพันที่ต้องวางเงินก็มักขัดกับจริยธรรมของสังคม ทำให้กิจกรรมพนันส่วนใหญ่เลยถูกมองว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่ก็มีบางประเทศที่ทำให้การพนันเป็นสิ่งถูกกฎหมายภายใต้สถานที่ที่กำหนดอย่างคาสิโน ซึ่งพี่ทุยเชื่อว่า “ลาสเวกัส (Las Vegas)” ต้องเป็นชื่อที่ใคร ๆ ก็นึกถึงเป็นแน่

จากเมืองกันดารกลางทะเลทรายที่ไม่มีอะไรเลย มาจับธุรกิจการพนันแล้วทำให้ถูกกฎหมายจนกลายเป็นต้นแบบของเมืองคาสิโนทั่วโลกได้ยังไงกัน ? วันนี้พี่ทุยจะมาเล่าให้ทุกคนฟังเอง…

กำเนิดดินแดนแห่งทะเลทราย

ที่ตั้งเมืองลาสเวกัสปัจจุบัน คือจุดที่เรียกว่าทะเลทรายโมฮาวีซึ่งค่อนข้างแห้งแล้ง โดยในปี 1821 มีกลุ่มพ่อค้านักสำรวจที่จะเดินทางจากเม็กซิโกไปแคลิฟอเนียร์ ซึ่งระหว่างทางก็ตั้งแคมป์อยู่ในทะเลทรายโมฮาวี โดยมีนักสำรวจคนหนึ่งชื่อราฟาเอล ริเวรา ได้แยกตัวไปค้นหาแหล่งน้ำแล้วบังเอิญไปพบกับโอเอซิสกลางทะเลทรายเข้า ทำให้โอเอซิสที่ถูกค้นพบนี้กลายเป็นจุดแวะพักยอดฮิตในทะเลทรายโมฮาวีและมีการตั้งชื่อเป็นภาษาสเปนว่าลาสเวกัสตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ในปี 1844 เป็นช่วงที่สหรัฐฯ กำลังจะทำสงครามกับเม็กซิโก ทำให้สหรัฐฯ ส่งทหารเข้ามายึด ลาสเวกัสแล้วสร้างเป็นฐานทัพ ซึ่งพอหลังสงครามจบ ลาสเวกัสก็กลายเป็นดินแดนของสหรัฐฯ และจากฐานทัพก็กลายเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ของคนอเมริกัน

ยุคตื่นทองและเส้นทางรถไฟ

ในปี 1848 ค้นพบทองคำในแคลิฟอเนียร์ ซึ่งข่าวเรื่องทองกระจายรวดเร็วยิ่งกว่าไวรัส ผู้คนจากทั้งสหรัฐฯ และต่างประเทศแห่กันมาขุดทองที่แคลิฟอเนียร์กว่า 300,000 คน ลาสเวกัสที่เป็นเหมือนประตูบ้านของแคลิฟอเนียร์ก็เริ่มคึกคักมากขึ้นโดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารที่บูมขึ้นมาอย่างต่อเนื่องจากเหล่านักขุดทองที่เดินทางมาจากทั่วสารทิศ

และถึงแม้ยุคตื่นทองจะจบลงไป แต่ยุคอุตสาหกรรมก็เข้ามาแทนที่ มีการสร้างทางรถไฟโยงใยไปทั่วประเทศเพื่อรองรับอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโตของสหรัฐฯ และในปี 1905 ก็มีการสร้างทางรถไฟจากเมืองลอสแอนเจลิสไปซอลต์เลกซิตี้ ซึ่งบังเอิญว่าลาสเวกัสเป็นทางผ่านพอดิบพอดี กลายเป็นจุดแวะพักยอดฮิตอีกครั้ง มีคนสัญจรไปมาในแต่ละวันนับพันคน

และจากการที่มีคนจากหลาย ๆ ที่ผ่านไปผ่านมา ทำให้ลาสเวกัสเริ่มไม่ค่อยมีระบบระเบียบ มีนักลงทุนเข้ามาทำธุรกิจสีเทาทั้งซ่องโสเภณี ร้านเหล้าเถื่อน สถานบันเทิงหนีภาษี รวมถึงคาสิโนที่ผิดกฎหมาย กลายเป็นว่าภาพลักษณ์ของเมืองในช่วงนี้ดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และถึงแม้เงินจะไหลเข้าเมืองเยอะแต่เกือบครึ่งหนึ่งเป็นเงินที่อยู่นอกระบบ อีกทั้งประชากรของเมืองก็มีน้อยมากแค่ประมาณ 800 คน ทำให้ลาสเวกัสเป็นเมืองที่ค่อนข้างโตช้า 

แต่แล้ว ใครจะคิดล่ะว่า เมืองกลางทะเลทรายนอกกฎหมายที่ไม่ค่อยโตนี้ ในอนาคตจะกลายเป็นเมืองที่โตพรวดพราดขึ้นมาเพราะวิกฤตเศรษฐกิจระดับโลก…

วิกฤติเศรษฐกิจโลกสู่อนาคตของ Las Vegas

ในปี 1929 ได้เกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า The Great Depression หรือเศรษฐกิจตกต่ำทั่วทั้งโลก คนอเมริกันตกงานกันเป็นว่าเล่น รัฐบาลสหรัฐฯ ที่ต้องการให้คนมีงานทำเลยตัดสินใจทุ่มงบประมาณมหาศาลทำโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ในปี 1931 คือการสร้างเขื่อนฮูเวอร์ (Hoover Dam) ซึ่งเป็นเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่ที่สุดในโลกตรงแม่น้ำโคโลราโดระหว่างรัฐเนวาดากับแอริโซนา

และเป็นเรื่องบังเอิญอีกแล้วที่เขื่อนฮูเวอร์อยู่ห่างจากลาสเวกัสแค่ 53 กิโลเมตร คนงานต่างทยอยกันเข้ามาสร้างเขื่อน ทำให้ในช่วงนี้ประชากรของเมืองพุ่งขึ้นในระดับ 10,000 คน และแน่นอนว่าคนงานที่ทำงานหนักมาทั้งวันก็ต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา ธุรกิจกลางคืนของลาสเวกัสเลยตอบโจทย์คนกลุ่มนี้แบบสุด ๆ

คราวนี้ ทำให้ผู้ว่าการรัฐเลยเข้ามาสร้างระเบียบเมืองใหม่ จัดการธุรกิจสีเทาที่ผิดกฎหมายทั้งหลายแหล่เปลี่ยนให้เป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมายให้หมด โดยสร้างหน่วยงานของรัฐเข้ากำกับควบคุม พร้อมกับจัดโซนที่เรียกว่า Fremont Street ให้เป็นแหล่งรวมธุรกิจเหล่านี้โดยเฉพาะ ไม่ให้กระจายไปทั่วเมืองเหมือนเมื่อก่อน

นักธุรกิจที่ตาลุกวาวเริ่มเห็นโอกาสการเติบโตของเมืองเลยเข้ามาลงทุนในธุรกิจโรงแรมผสมคาสิโน  เริ่มตั้งแต่การสร้าง Northern Club ในปี 1931 เป็นคาสิโนแห่งแรกที่ถูกกฎหมายในลาสเวกัส ซึ่งตื่นตาตื่นใจทั้งคนงานและนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปผ่านมา ดึงดูดให้เข้ามาเที่ยวใน Fremont Street จนกลายเป็นโซนธุรกิจกลางคืนที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ซึ่งในเวลาเพียงแค่ 5 ปี Fremont Street ก็กลายเป็น Downtown หรือใจกลางความเจริญของลาสเวกัสไปในที่สุด

Las Vegas อาณาจักรแห่งบ่อนคาสิโน

ในปี 1941 ได้มีการเพิ่มโซนสำหรับธุรกิจกลางคืนที่เรียกว่า Las Vegas Strip  ขึ้นมา ซึ่งได้ผลตอบรับดีกว่า Fremont Street เพราะมีนักลงทุนมากหน้าหลายตาเข้ามาสร้างทั้งคาสิโนและสถานบันเทิงของตัวเองในย่านนี้ จนกลายเป็น Downtown อีกแห่งของเมืองไปด้วย และผู้บุกเบิกย่านนี้คือคาสิโนอย่าง El Rancho Vegas และในปี 1941 ตามมาด้วยไนท์คลับอย่าง Pair- O-Dice ในปี 1942 

แต่ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะอยู่ในกรอบทั้งหมด กำไรเป็นกอบเป็นกำจากการพนันถูกกฎหมายก็ดึงดูดนักธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอาชญากรรมเข้ามาเปิดคาสิโนด้วยเช่นเดียวกัน อย่างในปี 1945 บักซี ซีเกล กู้เงินจากเมเยอร์ แลนสกี้ ที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรม มาสร้างคาสิโนที่ชื่อว่า The Flamingo แต่ในปี 1947 ซีเกลดันถูกยิงตายที่แคลิฟอเนียร์ ทำให้แลนสกี้จัดการเข้ามาฮุบ The Flamingo ทันที

The Flamingo ที่เปิดขึ้นมาทำกำไรได้อย่างมหาศาล ทำให้แลนสกี้เอากำไรมาต่อยอดเปิดอาณาจักรคาสิโนของตัวเองที่เรียกว่า The Strip ซึ่งมีคาสิโนผุดขึ้นเหมือนดอกเห็ด ได้แก่ Thunderbird (1948), Desert Inn (1950), Saharas (1952), Riviera (1955) ซึ่งล้วนเป็นอาณาจักรของแลนสกี้ที่เปิดเป็นคาสิโนถูกกฎหมายบังหน้า แต่ฉากหลังมีทั้งการโกงพนันและฟอกเงินโดยองค์กรอาชญากรรมที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง

เครดิตที่เสียไปมหาศาลของลาสเวกัสเพราะองค์กรอาชญากรรม ทำให้ต้องมีการจัดการแบบเด็ดขาด โดยตั้งกรรมการตรวจสอบความโปร่งใสของเกมพนันต่าง ๆ ในคาสิโนขึ้นมาชื่อว่า Nevada Gaming Commission (ซึ่งพี่ทุยขอเรียกว่า NGC) เข้าไปตรวจสอบคาสิโนที่ทุจริต มีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปดูเกมพนันในแต่ละคาสิโนว่ามีความยุติธรรมแค่ไหนและพิสูจน์ว่าบ่อนไม่ได้โกงลูกค้าที่มาใช้บริการ 

หาก NGC พบว่ามีการทุจริตก็จะออก Black Book ลิสต์รายชื่อคนที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตแล้วจัดการตามกฎหมาย พร้อมกับลิสต์รายชื่อคนที่มีประวัติอาชญากรรมห้ามยุ่งเกี่ยวกับคาสิโนในลาสเวกัสทั้งหมด เรียกได้ว่า คนที่ถูกหมายหัวนั้นไม่สามารถเป็นทั้งเจ้าของ คนลงทุน หรือลูกค้าได้เลย รวมถึงต่อจากนี้ไป NGC จะเป็นผู้ตรวจสอบและออกใบอนุญาตคนที่จะเข้ามาทำธุรกิจคาสิโนในลาสเวกัสทั้งหมด 

การล้างบางของ NGC ในครั้งนี้ พี่ทุยคิดว่า เหมือนเป็นการเอามีดมาสับแบ่งโลกของการพนันและโลกของอาชญากรรมออกจากกันแบบเด็ดขาดเลยทีเดียว ความเข้มของ NGC ทำให้กว่าจะเปิดคาสิโนได้ต้องโดนตรวจสอบหลายขั้นตอนแบบละเอียดยิบ แต่มันก็ได้กู้เครดิตที่เสียไปของเมืองกลับคืน พร้อมกับทำให้เกมการพนันในลาสเวกัสมีความน่าเชื่อถือที่สูงมากจริง ๆ ในเวลาต่อมา

รู้จัก ลาสเวกัส (Las Vegas) จากเมืองกันดารสู่มหานครแห่งคาสิโน

Las Vegas สวนสนุกของสหรัฐอเมริกา

หากใครมองว่าลาสเวกัสจะจมปลักอยู่แต่กับการพนันและคาสิโนแล้วล่ะก็ พี่ทุยบอกได้เลยว่าไม่ใช่แบบนั้นแน่นอน เพราะด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามา ทำให้โรงแรมกับร้านอาหารเติบโตตามไปด้วย เหล่านักลงทุนก็ได้มีการวางเอาไว้ว่า “จะใช้โอกาสนี้เปลี่ยนลาสเวกัสให้กลายเป็นสวนสนุกของสหรัฐอเมริกาไปเลยดีกว่า” 

สิ่งที่ตามมาคือตลอดทศวรรษ 1960 มีการจัดงานอีเวนต์ต่าง ๆ อยู่ตลอด พร้อมกับเชิญศิลปิน       เซเลปมาโปรโมทเมืองเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เช่น แฟรงก์ ซินาตรา, แซมมี่ เดวิส, เวย์น นิวตัน และสำคัญที่สุดคือซูเปอร์สตาร์ในยุคนั้นอย่างเอลวิส เพรสลีย์ ราชาร็อกแอนด์โรลล์ ที่เข้ามาซื้อบ้านแล้วปักหลักอยู่ในลาสเวกัส ทำให้ทั่วทั้งสหรัฐฯ รู้จักลาสเวกัสในด้านของความบันเทิง คราวนี้เลยทำให้สปอร์ตไลท์เริ่มฉายมาที่เมืองมากขึ้น ทั้งภาพยนตร์ MV และรายการทีวีต่าง ๆ ในสหรัฐฯ ก็นิยมใช้ลาสเวกัสเป็นฉากหลังของตัวเอง กลายเป็นการโปรโมทเมืองให้ดังเป็นพลุแตกไปทั่วทั้งโลกโดยอัตโนมัติ

ศูนย์กลางความบันเทิงและจัดการประชุม

ตั้งแต่ปี 1980 เป็นต้นมา จำนวนประชากรของลาสเวกัสเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นหลักแสนคน และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่องทุกปี ซึ่งในปี 2020 ลาสเวกัสมีจำนวนประชากร 644,594 คน

และตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ลาสเวกัสก็ได้รับการขนานนามว่าเป็น “เมืองหลวงแห่งความบันเทิงของโลก” มีจำนวนนักท่องเที่ยวเข้ามาเฉลี่ยในหลัก 20 ล้านคน ซึ่งพีคที่สุดในปี 2019 โดยมีนักท่องเที่ยวเข้ามา 42.5 ล้านคน 

ส่วนในปี 2020 ที่เจอสถานการณ์โควิด-19 ก็ยังสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้ 19 ล้านคน 

และในปี 2021 ที่เริ่มฟื้นตัว มีนักท่องเที่ยวที่เข้ามา 32.2 ล้านคน เรียกได้ว่าแสงสีความบันเทิงของเมืองเป็นแม่เหล็กที่ดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหน

อีกทั้งลาสเวกัสยังเป็นเมืองศูนย์กลางการประชุมของสหรัฐฯ ที่หากมีการประชุมของทั้งนานาชาติ ภาครัฐ หรือบริษัทเอกชน ก็มักมีลาสเวกัสเป็นตัวเลือกต้นๆ  เสมอ ซึ่งมีการจัดประชุมเฉลี่ยปีละ 20,000 ครั้งเลยทีเดียว

พี่ทุยจึงสรุปได้ว่า ปัจจุบันนั้นลาสเวกัสมีรายได้หลัก ๆ อยู่ 3 ส่วนด้วยกัน คือคาสิโน การท่องเที่ยว และการประชุม แต่ความโดดเด่นที่สุดของเมืองนั้นคงไม่พ้นเรื่องของการพนันซึ่งเป็นโมเดลให้หลายเมืองในสหรัฐฯ นำไปทำตาม เช่น แอตแลนติกซิตี้และนิวออร์ลีน หรือแม้กระทั่งหลายเมืองในโลกอย่างสิงคโปร์ หรือมาเก๊า ที่ NGC มีส่วนเข้าไปช่วยสร้างคาสิโนด้วยซ้ำ คราวนี้ลองหันกลับมามองที่ไทยบ้างว่าถ้าหากเปิดคาสิโนถูกกฎหมายแบบลาสเวกัสแล้วจะเป็นยังไง?

Las Vegas หากไทยมีคาสิโนถูกกฎหมายแบบลาสเวกัส

จริง ๆ แล้ว เรื่องของคาสิโนถูกกฎหมายในไทยนั้นก็ถูกพูดถึงมานานพอสมควร เพราะเป็นตัวเลือกที่จะสร้างเม็ดเงินให้กับไทยได้ไม่น้อยเลยทีเดียว แต่ก่อนอื่นพี่ทุยขอเล่าก่อนว่า คาสิโนถูกกฎหมายทำงานกับระบบเศรษฐกิจของลาสเวกัสยังไงตามโมเดลของ NGC

โดยตั้งแต่ที่มีการตั้ง NGC ขึ้นมา การพนันของลาสเวกัสก็ถูกฟอกให้ขาวสะอาด มีการคุมเข้มเรื่องการโกงและอบายมุขต่าง ๆ ที่แต่ก่อนรายได้ของคาสิโนจะวนเวียนอยู่กับธุรกิจซ่อง ซึ่งลาสเวกัสมีรายได้จากการพนันเฉลี่ย 6,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

แต่เมื่อ NGC เข้ามา ก็เปลี่ยนเงินที่ได้จากคาสิโนไปลงกับโครงสร้างพื้นฐานของเมืองอย่างถนน สวนสาธารณะ และสิ่งอำนวยความสะดวกแทน โดยเฉพาะระบบการศึกษาของเมืองก็ได้เงินอุดหนุนจากคาสิโนเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่ด้วยเช่นเดียวกัน 

อีกทั้ง NGC ยังคุมเข้มในเรื่องโซนของคาสิโนที่ห้ามเด็กและเยาวชนเหยียบเท้าเข้าไปโดยเด็ดขาด รวมถึงการบังคับให้ลูกค้าศึกษากฎกติกาในการเข้าไปเล่นอย่างละเอียด ชี้ถึงโทษของการพนันอย่างชัดเจน เรียกได้ว่า NGC ต้องการบาลานซ์เรื่องของการพนันและจริยธรรมให้มากที่สุดนั่นเอง

โดยหากไทยเซตระบบของคาสิโนตามแบบ NGC พี่ทุยคิดว่า สามารถตั้งคาสิโนแบบถูกกฎหมายได้แบบไม่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยรวม อีกทั้งยังเป็นการลดคาสิโนออนไลน์และบ่อนผิดกฎหมายที่มีอยู่เต็มไปหมดได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว

รวมถึงยังเป็นการสร้างความเข้าใจในเรื่องของการพนันในวงกว้างแบบชัดเจนว่ามีกติกาและโทษเป็นยังไงบ้าง ดังนั้น ความคิดเห็นส่วนตัวของพี่ทุยคือคาสิโนถูกกฎหมายตามแบบ NGC จะทำให้สังคมไทยดีขึ้นกว่าเดิม เพราะการมีหน่วยงานและกติกาที่ชัดเจนย่อมดีกว่าไม่มีอยู่แล้ว 

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพี่ทุยขอย้ำว่า ต้องมีการคุมเข้มจริงจังแบบ NGC  และอาจต้องใช้เวลาในการสร้างความเข้าใจเรื่องการเงินให้กับคนไทยอยู่พอสมควร เพราะกว่าที่ลาสเวกัสจะเปลี่ยนคาสิโนของตัวเองให้ขาวสะอาด ไม่เป็นพิษต่อสังคม และสร้างประโยชน์ให้กับเมืองได้ ก็ใช้เวลาร่วม ๆ 30 ปีเหมือนกัน…

อ่านเพิ่ม

อ้างอิง

Ferrari, Michelle. Las Vegas: An Unconventional History. Boston : Bulfinch, 2005.
https://www.britannica.com
https://www.history.com
https://www.lasvegasnevada.gov/
https://news3lv.com
https://www.thelasvegasluxuryhomepro.com
https://www.visitlasvegas.com/

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย