ส่องประวัติ Warren Buffett นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลก… ตลอดกาล

ส่องประวัติ Warren Buffett นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลกตลอดกาล

5 min read  

ฉบับย่อ

  • Warren Buffett เริ่มขายของเล็ก ๆ น้อย ๆ มาตั้งแต่ 5 ขวบ เข้าสู่ธุรกิจการลงทุนในตลาดหุ้นตอน 11 ขวบ ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยเขาทำรายได้ไปกว่า 5,000 ดอลลาร์จากธุรกิจทั้งหมดที่เขามี แต่ถึงอย่างนั้น เขาถูกปฏิเสธการเข้าเรียนจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เพราะเก่งแต่อายุน้อยเกินไป
  • Warren ซื้อหุ้นบริษัท Berkshire Hathaway ซึ่งเขาเป็นลูกจ้างอยู่ในเวลานั้น จนได้กลายเป็นประธานและกลายซีอีโอของบริษัท จากนั้น Warren ก็ไล่ทีมผู้บริหารชุดเก่าออกยกชุด Berkshire Hathaway เข้าซื้อและถือหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ทั้งหนังสือพิมพ์ The Washington Post, ธุรกิจน้ำมันอย่าง Exxon และบริษัทน้ำอัดลม Coca-Cola โดยที่บริษัทนี้มีพนักงานทั้งบริษัทอยู่ทั้งหมดแค่ 25 คน
  • ในวัย 92 ปี เจ้าของบริษัท Berkshire Hathaway คือนักลงทุนในตลาดหุ้นที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลก เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอันดับ 5 ของนิตยสาร Forbes ถือครองสินทรัพย์รวม 118,000 ล้านดอลลาร์ และยังเป็นเจ้าของสถิติผู้บริจาคเงินตลอดชีวิตให้กับการกุศลมากที่สุดในโลกจนถึงปัจจุบันด้วยเงินมูลค่า 46,100 ล้านดอลลาร์

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

เมื่อพูดถึงบุคคลที่ประสบความสำเร็จที่สุดในโลกจากการเล่นหุ้น ใคร ๆ ก็ต้องนึกถึง Warren Buffett แห่ง Berkshire Hathaway นักลงทุนในตำนานที่เข้าสู่วัย 92 ปีแล้วในปี 2022 นี้ ได้รับสมญานามว่าเป็นนักลงทุนที่เก่งที่สุดตลอดกาล

ในปี 2022 Warren เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกอันดับ 5 ของนิตยสาร Forbes โดยถือครองสินทรัพย์รวม 118,000 ล้านดอลลาร์ เป็นนักลงทุนในธุรกิจการเงินเพียงคนเดียว จากจำนวน 10 คนของมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลก (อีก 6 จาก 10 คนเป็นเจ้าของบริษัทเทคโนโลยี) นอกจากนั้น เขายังเป็นเจ้าของสถิติผู้บริจาคเงินตลอดชีวิตให้กับองค์กรการกุศลมากที่สุดในโลก รวมแล้วมูลค่ามากกว่า 46,100 ล้านดอลลาร์

ส่องประวัติ Warren Buffett นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลก… ตลอดกาล

เกริ่นมาขนาดนี้ แฟน ๆ พี่ทุยน่าจะอยากรู้เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลังแง่มุมต่าง ๆ ของมหาเศรษฐีระดับโลก “ผู้ไม่เคยล้มเหลวจากการลงทุน” คนนี้มากขึ้น บางเรื่องอาจจะเคยรู้แล้วหรือไม่เคยรู้มาก่อน วันนี้พี่ทุยจะพาไปรู้จักกับคุณปู่มหาเศรษฐีนักลงทุนผู้เก่งกาจแถมยังใจบุญที่ชื่อว่า Warren Buffett คนนี้กัน

ชีวิตวัยเด็กของ Warren Buffett นักลงทุนระดับโลก

Warren Edward Buffett เกิดวันที่ 30 ส.ค. ปี 1930 ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนแบรสกา สหรัฐฯ เขาเป็นลูกคนที่สองของครอบครัวชนชั้นกลาง มีพี่สาวและน้องสาวอีกอย่างละหนึ่งคน Howard Buffett พ่อของเขาเป็นสมาชิกสภาคองเกรสสี่สมัยจากพรรคอนุรักษ์นิยมของสหรัฐฯ อย่างพรรครีพับลิกัน และเป็นโบรกเกอร์ในตลาดหุ้น ส่วนแม่ของเขาเป็นแม่บ้าน

Warren ชอบเรียนรู้เรื่องการค้าขายและเรื่องการเงินมาตั้งแต่เด็ก ๆ เขาเริ่มเดินขายหมากฝรั่งและน้ำมะนาวในละแวกบ้าน ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ จนพอ 6 ขวบก็เริ่มขายน้ำโคคาโคล่าที่เขาซื้อในราคาขายส่งมาจากร้านขายของชำของคุณตา แล้วมาเร่ขายในราคาขายปลีก ได้กำไรขวดละ 5 เซ็นต์ (ทุกวันนี้เขาถือหุ้นของโคคาโคล่าอยู่เป็นจำนวนมาก)

เขายังขายลูกกอล์ฟมือสอง โดยศึกษาว่าลูกกอล์ฟของแต่ละแบรนด์นั้นมีมูลค่าไม่เท่ากัน เขาจึงแบ่งขายตามมูลค่าของแบรนด์นั้น และเวลาที่มหาวิทยาลัยโอมาฮาจัดแข่งขันฟุตบอล Warren ก็จะนำถั่วและข้าวโพดคั่วไปขายในสนามกีฬาด้วย

เมื่ออายุ 7 ขวบ เขาเริ่มอ่านหนังสือ “One Thousand Ways to Make $1000” ที่ทำให้เขารู้จักการสร้างรายได้หรือวิธีรวยจากธุรกิจเป็นพัน ๆ วิธี จนต่อมาตอนอายุ 10 ขวบ เขาติดตามพ่อไปนั่งร่วมโต๊ะกินอาหารกลางวันกับสมาชิกตลาดซื้อขายหุ้นในนิวยอร์ก (New York Stock Exchange) นั่นอาจเรียกได้ว่าเป็นแรงบันดาลใจและเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ Warren ตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจการลงทุน จนเขาอายุได้ 11 ขวบ เขาควักเงินเก็บ 120 ดอลลาร์ก้าวเข้าสู่ซื้อขายหุ้นเป็นครั้งแรก 

Warren ซื้อหุ้น Cities Service Preferred ร่วมกับพี่สาวโดยเข้าซื้อตอนที่ราคา 38.25 ดอลลาร์ และหลังจากที่เขาซื้อได้ไม่นาน หุ้นก็ตกไปอยู่ที่ 27 เหรียญฯ เมื่อราคาหุ้นดีดขึ้นไปที่ 40 ดอลลาร์ เขาจึงตัดสินใจเทขายหุ้นทั้งหมดไป แต่หลังจากที่เขาขายหุ้นทั้งหมดนั้นไปไม่นาน หุ้นก็พุ่งขึ้นไปอยู่ถึง 202 ดอลลาร์ ความผิดพลาดครั้งนั้นทำให้ Warren ได้เรียนรู้เป็นครั้งแรกว่า จงอย่าเห็นแก่กำไรเล็ก ๆ น้อย ๆ และอย่าตื่นตระหนกกับความผันผวนของตลาดหุ้น

หาเงินเก่งตั้งแต่วัยรุ่นจนเข้ามหาวิทยาลัย

เมื่ออายุ 13 Warren Buffett เริ่มทำงานส่งหนังสือพิมพ์ของ Washington Post โดยได้ศึกษาเส้นทางการส่งหนังสือพิมพ์จากสำนักพิมพ์คู่แข่งอย่าง Times-Herald Warren เขาใช้เส้นทางเดียวกันกับคู่แข่ง และพ่วงการขายนิตยสารกับลูกค้าที่รับหนังสือพิมพ์ด้วย ทำให้ในช่วงนั้นเขามีรายได้เฉลี่ยสัปดาห์ละ 175 ดอลลาร์ ซึ่งมากกว่าเงินเดือนของคุณครูประจำชั้นของเขาเสียอีก ปีต่อมาเขาได้ใช้เงินเก็บซื้อที่ดินขนาด 40 เอเคอร์ (ราว 101 ไร่) ที่ Nebraska Farmland และจ้างชาวสวนชาวไร่มาทำการเกษตร

เขาก็ยังทำธุรกิจขายแสตมป์สำหรับนักสะสม รับจ้างล้างรถ และเป็นแคดดี้สนามกอล์ฟในเวลาเดียวกัน เท่านั้นยังไม่พอ เขายังได้เริ่มธุรกิจตู้เกมหยอดเหรียญด้วยการติดต่อขอซื้อตู้เกมพินบอลแบบหยอดเหรียญมือสองมาในราคา 25 ดอลลาร์ แล้วติดต่อร้านตัดผมในละแวกนั้นเพื่อขอพื้นที่ตั้งตู้เกมพินบอล โดยมีข้อตกลงว่าจะแบ่งกำไรครึ่งหนึ่งให้กับร้านตัดผม 

ท้ายที่สุดก่อนที่เขาจะเรียนจบระดับชั้นมัธยม เขาก็ได้ขายกิจการตู้เกมหยอดเหรียญไป 1,200 ดอลลาร์ (คิดมูลค่าในปี 2015 อยู่ที่ราว 50,000 ดอลลาร์) รวม ๆ แล้วชีวิตในช่วงมัธยมของ Warren นั้น เขาสามารถทำรายได้ไปกว่า 5,000 ดอลลาร์จากธุรกิจทั้งหมดที่เด็กอย่างเขามี

Benjamin Graham บุคคลต้นแบบของ Warren Buffett

หลังจบชั้นมัธยม เขาเกือบจะได้เรียนที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดอยู่แล้ว แต่ก็เกิดสอบตกในรอบสอบสัมภาษณ์ อาจารย์ที่นั่นให้เหตุผลที่เขาสอบไม่ผ่านว่า เขาในวัย 20 นั้นเด็กเกินกว่าจะมาเรียนที่นี่ เขาจึงเบนเข็มไปเรียนต่อปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยเนแบรสกา สาขาบริหารธุรกิจ ก่อนจะมาศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในสาขาเศรษฐศาสตร์ ที่นี่เขาได้เรียนกับ Benjamin Graham ปรมาจารย์ด้านการลงทุนและ Warren ก็เป็นนักศึกษาเพียงคนเดียวในชั้นของ Benjamin ที่ได้เกรดเอบวก

ในเวลานั้น Warren ได้ศึกษาเกี่ยวกับปรัชญาการลงทุนจากหนังสือ The Intelligent Investor หรือคัมภีร์การลงทุนแบบเน้นคุณค่าของ Benjamin Graham ด้วย ซึ่งต่อมาเขาก็ได้นำมามาประยุกต์เป็นวิธีการลงทุนของเขาเองจวบจนถึงปัจจุบัน และยกให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับเขา รวมถึงยกย่องให้ Benjamin เป็นบุคคลที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเขามากเป็นอันดับสองรองจากพ่อ

ส่องประวัติ Warren Buffett นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลก… ตลอดกาล

ก้าวแรกของการทำงานวงการ Wall Street

เมื่อเรียนจบ Warren เริ่มก้าวเข้าสู่ชีวิตของวัยทำงาน ช่วงปี 1951 ถึง 1954 เขาเริ่มอาชีพพนักงานขายด้านการลงทุนที่บริษัท Buffett-Falk & Co. ซึ่งเป็นบริษัทนายหน้าของพ่อ จากนั้นในช่วงปี 1954 ถึง 1956 เขาก็เข้าทำงานเป็นนักวิเคราะห์หุ้นที่บริษัท Graham-Newman Corp. ของ Benjamin Graham

ซึ่งในทีแรก Warren ถูกปฏิเสธไม่รับเข้าทำงาน เนื่องจาก Benjamin ต้องการเว้นตำแหน่งงานให้กับชาวยิวในเมืองนิวยอร์กซึ่งในเวลานั้นถูกเหยียดและโดนกีดกันจากธุรกิจตลาดหุ้นใน Wall Street แต่สุดท้าย Benjamin ก็ต้องยอมให้กับความสามารถที่หาตัวจับยากของ Warren เขาทำงานอยู่ที่บริษัทเกี่ยวกับหลักทรัพย์แห่งนั้นอยู่ราว 2 ปี ได้รับค่าตอบแทนราวเดือนละ 12,000 ดอลลาร์ (ถ้าเทียบเป็นค่าเงินบาทในเวลานั้น ก็จะอยู่ที่ราว ๆ 3 ล้านบาท)

ในปี 1956 เขาก็ได้ก่อตั้งบริษัทของตัวเองในชื่อว่า Buffett Partnership โดยมีหุ้นส่วนด้วยกัน 7 คน คือ แม่, พี่สาว, คุณน้า, พ่อตา, พี่เขย, เพื่อนร่วมห้องสมัยเรียน และนักกฎหมายอีกคน Warren ไม่ขอรับเงินเดือนในการจัดการ แต่ขอรับเป็นส่วนแบ่งจำนวน 25% จากผลกำไรแทน จนกระทั่งในปี 1962 Warren ก็ได้กลายเป็นเศรษฐีเงินล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก เพราะ บริษัท Buffett Partnership เติบโตจนบริษัทมีมูลค่ามากกว่า 7 ล้านดอลลาร์ ซึ่งทำให้หุ้นที่เขาถืออยู่นั้นมีมูลค่าเกินกว่า 1 ล้านดอลลาร์  ความสำเร็จครั้งนี้การเริ่มต้นจากเงินทุนเพียง 100,000 ดอลลาร์เท่านั้น

Warren Buffett และบริษัท Berkshire Hathaway

Warren เริ่มลงทุนโดยการซื้อหุ้นในบริษัท Berkshire Hathaway ซึ่งเขาเป็นลูกจ้างอยู่ในเวลานั้น เขาวิเคราะห์ว่า ราคาหุ้นของบริษัทนี้ต่ำกว่าตัวเลขจริง เขาจึงหวังจะซื้อแบบสะสมหุ้นเพื่อให้ผู้บริหารจะซื้อหุ้นคืนในราคาสูง แต่ผู้บริหารบริษัทกลับเลือกจะซื้อหุ้นคืนในราคาที่ต่ำ Warren จึงตัดสินใจซื้อหุ้นเพิ่มทั้งหมดจนได้กลายเป็นประธานและกลายซีอีโอของบริษัท จากนั้น Warren ก็ไล่ทีมผู้บริหารชุดเก่าออกยกชุด

Berkshire Hathaway กลายเป็นยานพาหนะพาชีวิตของ Warren ทะยานสู่ความมั่งคั่งและร่ำรวย จากเดิมที่บริษัทแห่งนี้ทำธุรกิจสิ่งทอ เขาเปลี่ยนให้ Berkshire Hathaway กลายเป็น Holding Company ที่ไปเข้าซื้อและถือหุ้นของบริษัทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ The Washington Post, บริษัทประกัน GEICO, ธุรกิจน้ำมันอย่าง Exxon และบริษัทน้ำอัดลม Coca-Cola บริษัทนี้ที่มีพนักงานทั้งบริษัทอยู่แค่ 25 คน ทำการลงทุนในธนาคาร ธุรกิจประกันภัย สายการบิน กิจการรถไฟ และธุรกิจอุปโภคบริโภค

จากวันแรกสุดที่เขาเริ่มซื้อหุ้น Berkshire Hathaway ราคาอยู่ที่ 7.60 ดอลลาร์ต่อหุ้น จนปัจจุบันในปี 2022 ราคาต่อหุ้นอยู่ที่ 465,000 ดอลลาร์ต่อหุ้น หรือราว ๆ 16 ล้านบาทต่อหุ้น กลายเป็นบริษัทที่มีราคาหุ้นสูงที่สุดในสหรัฐ และในปี 2008 Warren ได้กลายเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดอันดับ 1 ของโลกจากการขายหุ้นบางส่วนของ Berkshire Hathaway  และติด 1 ใน 10 ของมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกจากวันนั้นจนถึงวันนี้

ส่องประวัติ Warren Buffett นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลก… ตลอดกาล

Warren เคยบอกไว้ว่า “เขาจะลงทุนเฉพาะธุรกิจที่มีความรู้และความเข้าใจกับมันเป็นอย่างดีเท่านั้น” นี่ถือเป็นทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีก็คือเขาสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการลงทุนในสิ่งที่เขาไม่รู้จัก แต่นั่นก็ทำให้เขาพลาดการลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีที่ในยุคที่เขาไม่ได้เติบโตมาเช่นกัน Warren ตัดสินใจ “ไม่ซื้อ” หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ทั้ง ๆ ที่ผู้ก่อตั้งของแต่ละบริษัทได้เข้ามาเจรจาเพื่อขอให้เขาซื้อหุ้นโดยตรง

ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Google หรือ Amazon ที่ทำให้ Jeff Bezos กลายเป็นมหาเศรษฐีของธุรกิจ e-Commerce แต่ถึงอย่างนั้น ในปัจจุบัน Warren ก็ถือหุ้นของบริษัท Apple อยู่ไม่น้อย

เขายังขึ้นชื่อเรื่องการเป็นนักอ่าน ในทุกวันเขาจะอ่านหนังสือวันละมากกว่า 500 หน้า ทั้งเอกสารของบริษัท หนังสือพิมพ์ 5 ฉบับ รวมถึงหนังสืออื่น ๆ และเขาจะเริ่มอ่านหนังสือเป็นกิจวัตรแรกของวัน

นิสัยรักการอ่านของ Warren เริ่มต้นขึ้นตอนอยู่ ป.5 ในตอนนั้นเขาชื่นชอบหนังสือเวิลด์ แอลมาแนค ปี 1939 ที่ได้รับเป็นของขวัญมาจากป้า เขาจำข้อมูลของเมืองทุกเมืองบนโลกได้และเข้าร่วมการแข่งขันตอบปัญหา Warren วัยเด็กหลงรักการจดจำข้อมูลเกี่ยวกับเมืองต่าง ๆ ถึงขนาดวันที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะต้องผ่าตัดไส้ติ่ง เขาก็ยังเอาหนังสือเวิลด์ แอลมาแนคมาอ่านบนเตียงคนไข้

เมื่อโตขึ้นมาอีกหน่อย Warren ได้เจอกับหนังสือ “Contract Bridge Complete: The Gold Book of Bidding and Play” ของ Ely Culbertson ซึ่งเกี่ยวกับจิตวิทยาสังคมและทฤษฎีเกม นี่เป็นหนังสืออีกเล่มที่เขาบอกว่าเป็นแรงบันดาลใจสำคัญจนทำให้เขารักการลงทุน

ข้อคิดที่เขามักจะมอบให้กับผู้ที่มาถามเขาทุกรุ่นทุกวัยอยู่เสมอว่า อะไรที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จในชีวิต Warren มักจะตอบว่า เป็นเพราะเขา “ลงทุนในตัวเอง เพราะตัวเองคือสินทรัพย์ที่มีคุณค่ามากที่สุด” นอกจากนั้นคนเราจะต้องตามหาสิ่งที่รักและ Passion ของตัวเองให้เจอ

Warren ยังเชื่อมั่นในคนเป็นอย่างมาก เขาบอกว่า เขาจะเลือกลงทุนรับพนักงานเข้าบริษัท ด้วยคุณสมบัติเพียงไม่กี่ข้อ นั่นคือ ความซื่อสัตย์ (ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเขา) ความฉลาด และความขยันขันแข็ง แต่หากคุณไม่ได้เริ่มต้นด้วยความซื่อสัตย์เสียแล้ว อีกสองข้อที่เหลือก็แทบไม่มีความสำคัญเลย Warren ไม่ไขว่คว้าอะไรที่เกินจำเป็น ทุกวันนี้เขาลงทุนเพื่อจะทำให้เกิดประโยชน์ต่อตัวเองพอสมควรและเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับผู้อื่นในสังคมมากกว่า

Warren มักจะสรุปสูตรความสำเร็จของเขาให้คนอื่นฟังด้วยประโยคสั้น ๆ ว่า “จงเข้านอนให้ฉลาดกว่าตอนที่ตื่นนอน”

Warren Buffett ไม่ได้ประสบความสำเร็จในชีวิตไปทุกครั้ง

แต่ก็ไม่ใช่ว่าชีวิตของ Warren Buffett จะมีแต่ความสำเร็จระดับโลกเสมอไป เพราะในหลาย ๆ ครั้ง เขาก็ออกมายอมรับว่า เข้าลงทุนในหุ้นอย่างผิดพลาดอยู่มากมาย และแต่ละครั้งก็ทำให้เขาสูญเสียเงินมากกว่าพันล้านดอลลาร์

ในปี 2008 Warren ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท ConocoPhillips ซึ่งเป็นบริษัทผลิตเชื้อเพลิงระดับโลกตอนที่ราคาเชื้อเพลิงเกือบจะถึงจุดสูงสุด โดยใช้เงินซื้อไปประมาณ 7,000 ล้านดอลลาร์ แต่ต่อมาราคาเชื้อเพลิงดิ่งเหวลงมาเกือบครึ่ง มูลค่าหุ้นตกลงมาเหลือเพียง 4,400 ล้านดอลลาร์ ในครั้งนั้นทำให้ Warren ขาดทุนไปกว่า 2,600 ล้านดอลลาร์

ในปีเดียวกัน เขาใช้เงินจำนวน 244 ล้านดอลลาร์ซื้อหุ้นธนาคารในไอร์แลนด์ ซึ่งเขาประเมินแล้วว่า จะเข้าซื้อได้ในราคาที่ต่ำกว่าราคาประเมิน แต่พอถึงสิ้นปีราคาหุ้นกลับตกลงอย่างมาก นั่นทำให้เขาตัดสินใจขายหุ้นทิ้งเพื่อตัดขาดทุน แล้วได้เงินกลับมาเพียง 27 ล้านดอลลาร์ ขาดทุนไปกว่า 89 เปอร์เซ็นต์

ในปี 2011 Warren ตกหลุมพรางของ David Sokol หนึ่งในผู้บริหาร Berkshire Hathaway ณ ขณะนั้นด้วยความไว้ใจ David เชียร์ให้เขาซื้อหุ้นของบริษัท Lubrizol Corp. ซึ่ง David Sokol แอบซื้อหุ้นของ Lubrizol ไว้ก่อนหน้านั้นเพื่อเก็งกำไร ซึ่งต่อมาก็ทำให้ David ได้กำไรจากการซื้อขายครั้งนี้เป็นจำนวนเงิน 3 ล้านดอลลาร์

จากเหตุการณนี้ Berkshire Hathaway เสื่อมเสียชื่อเสียงและความเชื่อมั่นจากประชาชนอย่างมาก บทเรียนแห่งความไว้ใจในครั้งนี้ทำให้ Warren ไล่ David Sokol ออกจากบริษัททันที

และการล้มเหลวครั้งหลังสุดในปี 2012 Berkshire Hathaway เข้าซื้อหุ้นของ Tesco ในราคา 2,300 ล้านดอลลาร์แล้วขายหุ้นบางส่วนออกไป ทำกำไรได้กว่า 43 ล้านเหรียญฯ แต่พอเข้าสู่ปี 2014 หุ้นของ Tesco ตกลงกว่า 48 เปอร์เซ็นต์ ทำให้  Berkshire Hathaway ขาดทุนไปมากกว่า 444 ล้านดอลลาร์

Warren Buffett ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือหรือคอมพิวเตอร์ส่วนตัว วิธีการทำงานของเขาคือ เลี่ยงการประชุมเท่าที่ทำได้เพราะเขาคิดว่าการประชุมเป็นสิ่งไม่จำเป็น ความสำเร็จของเขาจึงมาจากการนั่งเฉย ๆ คิด อ่านหนังสือ แล้วก็ลงทุน เพราะเขาถือว่าเวลามีค่าสำหรับเขามาก เขาต้องใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพสูงที่สุด

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา Warren ใช้เวลาในการเดินทางไปยังที่ทำงานเเค่ 5 นาทีเท่านั้น และระหว่างทางเขาจะแวะ ร้านอาหาร McDonald’s สาขาเดิมเกือบทุกวัน เพื่อซื้ออาหารเช้าที่ประกอบไปด้วยแฮมเบอร์เกอร์และโค้ก ในราคาที่ไม่เกิน 3.17 ดอลลาร์ หรือราว 110 บาท

กิจกรรมยามว่างเสาร์อาทิตย์ เขามักจะชอบทำข้าวโพดคั่วกินเองและเล่นอะคูเลเล่ ก่อนหน้าที่เขาจะเจอกับภรรยาคนแรก Warren เคยพยายามจีบผู้หญิงคนอื่น ซึ่งในตอนนั้นผู้หญิงคนนั้นกำลังเดตอยู่กับนักอูคูเลเล่ นั่นทำให้ Warren เริ่มฝึกเล่นอูคูเลเล่เพื่อที่จะเอาชนะใจเธอบ้าง แม้ว่าสุดท้ายแล้ว เขาจะจีบผู้หญิงคนนั้นไม่ติด แต่อูคูเลเล่ก็กลายมาเป็นเครื่องดนตรีชิ้นโปรดของเขาจนถึงทุกวันนี้

บ้านพักของเขาไม่ได้อยู่ในเมืองใหญ่ แต่อยู่ในเมืองบ้านเกิดที่รัฐเนบราสกา คิดราคาเป็นมูลค่าเพียง 0.001% ของทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามี เขาซื้อบ้านหลังนี้เมื่อปี 1956 ในราคา 31,500 ดอลลาร์ ก่อนที่ราคาจะเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัวในปัจจุบัน ซึ่งถ้าจะซื้อที่ดินในแถบบ้านของ Warren ณ วันนี้ จะต้องเสียเงินราว 2.15 ล้านดอลลาร์ หรือ ราว 74.7 ล้านบาท

ความรัก..จุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตนักลงทุน

Warren เป็นคนที่เกลียดและกลัวการพูดในพื้นที่สาธารณะมาก จนเขายอมลงทุนจ่ายค่าคอร์สเรียนพัฒนาบุคลิกภาพด้านการพูดที่มหาวิทยาลัยของ Dale Carnegie นักพูดโน้มน้าวใจคนที่เก่งที่สุดคนหนึ่งของโลก ในราคา 100 ดอลลาร์ การลงทุนในครั้งนั้นกลายเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด ไม่ใช่เพราะเขาได้ไปพูดบนเวทีสำคัญที่ไหน แต่เพราะสิ่งนี้เองทำให้เขากล้าที่จะขอภรรยาแต่งงาน

จุดเปลี่ยนที่สำคัญของ Warren Buffett ส่วนหนึ่งก็มาจาก Susan Thompson ภรรยาคนแรก เธอเป็นเพื่อนร่วมห้องสมัยเรียนมหาวิทยาลัยของน้องสาว Warren ทั้งคู่จะพบรักและแต่งงานกัน ในปี 1952 สองปีหลังจากได้พบกันและมีลูกด้วยกัน 3 คน แต่แล้วความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ค่อย ๆ ห่างเหินกัน สุดท้ายในปี 1977 เขาและ Susan ก็แยกกันอยู่ แต่ยังคงสถานะการแต่งงานเอาไว้อยู่ โดยที่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายสามารถคบหาดูใจกับคนอื่นได้ Warren เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขารู้สึกเสียใจมาก และยอมรับว่าความผิดพลาดในชีวิตคู่ครั้งนี้เป็นความผิดของเขาเอง

ไม่กี่ปีต่อมา Susan ได้แนะนำให้ Warren รู้จักกับ Astrid Menks เจ้าของร้านอาหารที่เธอเคยไปร้องเพลงให้ Warren กับ Astrid สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว จน Astrid กลายเป็นคนรักของ Warren ในที่สุด พวกเขาทั้งสามคนยังกลายเป็นแก๊งเพื่อนสนิทตัวติดกันที่มักจะทำกิจกรรมร่วมกันบ่อย ๆ 

ในปี 2004 Susan จากไปด้วยโรคมะเร็งในช่องปากตอนอายุได้ 72 ปี Warren จึงได้ตั้ง Susan Thompson Buffett Foundation มูลนิธิเพื่อการกุศลที่เขาอุทิศแด่อดีตภรรยา หลังจากนั้น 2 ปี Warren Buffett จึงได้จัดงานแต่งงานอย่างเป็นทางการกับ Astrid เล็ก ๆ ที่มีเพียงคนในครอบครัวมาร่วมเป็นสักขีพยาน

(สอง) มหาเศรษฐีผู้ใจบุญ

Warren ยังร่วมกับ Bill Gates ในการทำกิจกรรมการกุศล โดยเมื่อปี 2017 เขาได้บริจาคหุ้นของบริษัท Berkshire Hathaway จำนวน 185 ล้านหุ้น มูลค่าสูงถึง 2,800 ล้านดอลลาร์ (หรือราว ๆ 9 แสนล้านบาท) มอบให้กับมูลนิธิ Bill and Melinda Gates ซึ่งมี Bill Gates ผู้ก่อตั้งบริษัท Microsoft เป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิและบริหารงาน

อ่านเพิ่ม

การบริจาคครั้งนั้นของ Warren ทำให้เขาถูกบันทึกไว้เป็นสถิติโลกว่า เป็นผู้มอบเงินบริจาคให้กับการกุศลในครั้งเดียวด้วยจำนวนเงินสูงที่สุดตลอดกาลของสหรัฐฯ และตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา เขาเลือกจะแบ่งปันเงินกำไรจาการเล่นหุ้นปีละ 2,000-3,000 ล้านดอลลาร์มอบให้กับการกุศล รวมถึงเคยลั่นวาจาไว้ว่า เมื่อเขาตายจะบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดให้การกุศลกว่า 99% ของทรัพย์สินทั้งหมดที่เขามีอยู่ 

Bill Gates เคยให้สัมภาษณ์ว่า เขานับถือ Warren Buffett เหมือนพ่อคนหนึ่ง และเขาก็โชคดีที่ได้กลายเป็นมือขวาของ Warren ด้านการลงทุนมาโดยตลอด ทั้งสองคนมักจะแลกเปลี่ยนมุมมองและแนวคิดในด้านการบริหารงานไปจนถึงหนังสือที่อ่าน

Bill ยังเคยให้สัมภาษณ์เล่าเรื่องของ Warren ให้ฟังว่า คุณปู่มักจะใช้เวลากว่า 80% ในแต่ละวันไปกับการอ่านหนังสือและทำแบบนี้มาตั้งแต่ตอนเด็ก ๆ แล้ว และทั้งคู่ก็ มักจะใช้เวลาเล่นไพ่บริดจ์ด้วยกันเสมออีกด้วย

ส่องประวัติ Warren Buffett นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในโลก… ตลอดกาล

และนี่ก็คือเรื่องราวชีวิตส่วนหนึ่งของคุณปู่นักลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลกและประสบความสำเร็จในชีวิตตลอดกาล ซึ่งแฟน ๆ พี่ทุยก็คงจะเห็นแล้วว่า Warren Buffett ไม่ได้มีชีวิตที่หวือหวาหรือน่าตื่นเต้น แต่กลับเป็นชีวิตที่เรียบง่าย เน้นความแน่นอน มั่นใจในการลงทุนแต่ละครั้ง ซึ่งนี่อาจเป็นเคล็ดลับความสำเร็จที่ไม่ว่าจะในยุคไหนสมัยไหนก็ตาม วิกฤตเศรษฐกิจและสถานการณ์ที่ผันผวนด้านการลงทุนไม่สามารถทำอันตรายกับปู่ Warren ได้เลย เคล็ดลับเหล่านี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ แฟน ๆ พี่ทุยทั้งหลายลองเลือกไปใช้กับชีวิตตัวเองกันได้เลย

อ้างอิง

https://www.forbes.com/billionaires/
https://www.forbes.com
https://www.britannica.com
https://www.biography.com
George Ilian. 2018.  โลกเป็นของคนที่เห็นอนาคตก่อนใคร [Top 10 Visionaries that Change the World] (พลกิตต์ เบศรภิญโญวงศ์, แปล). อมรินทร์ How To, สนพ.

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย