ตามปกติคนเราหาก “เสียชีวิต” ไปแล้ว ก็ยากที่จะสร้างรายได้ต่าง ๆ ขึ้นมา เพราะไม่ได้ดำรงอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว แต่คนดังหลายคน โดยเฉพาะผู้ที่เป็นศิลปินถือลิขสิทธิ์งานสร้างสรรค์ต่าง ๆ นั้นต่างออกไป แม้เจ้าตัวจะไม่อยู่บนโลกแล้ว แต่ผลงานต่าง ๆ ที่ทำเอาไว้ยังคงทำเงินสร้างรายได้ให้กับครอบครัวผู้อยู่เบื้องหลัง ไม่ใช่แค่ระดับน้อยนิดแต่เป็นระดับมหาศาล บางคนนั้นเรียกได้ว่าผลงานของเขากลับทำรายได้ให้มากกว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำ
โดยในปี 2021 ที่ผ่านมา มีมหาเศรษฐีที่ทำรายได้หลังจากเสียชีวิตมากกว่า 10 ล้านดอลลาร์ถึง 13 คน และทำรายได้รวมกันไปมากถึง 960 ล้านดอลลาร์ มากกว่าปี 2020 ก่อนหน้าถึง 3 เท่าเลยทีเดียว
วันนี้พี่ทุยจะขอพาไปทำความรู้จัก 7 อันดับ “มหาเศรษฐีผู้สร้างรายได้มากที่สุดในโลก หลังเสียชีวิตไปแล้ว” ในช่วงปีล่าสุดว่ามีใครบ้าง หลายคนในจำนวนนี้เชื่อว่าทุกคนน่าจะรู้จักแน่นอน เพราะเป็นศิลปินระดับตำนานที่โลกต้องจดจำ
ส่วนบางคนที่อาจไม่ได้เป็นที่รู้จักนักของคนไทย ก็ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะได้ทำความรู้จักกับคนที่ขนาดตายไปแล้วยังหาเงินเข้ากระเป๋าได้อยู่ จนต้องขอคารวะให้เป็นผู้สร้าง Passive income ที่แท้ทรู
อันดับที่ 7 Elvis Presley นักร้อง-นักดนตรี มหาเศรษฐีที่ทำรายได้หลัง “เสียชีวิต” มากที่สุด
ราชาร็อคแอนโรลด์อันดับหนึ่งตลอดกาลทำรายได้จากปี 2021 ไปที่ 30 ล้านดอลลาร์ สำหรับ Elvis Presley คงไม่มีใครกังขาในความเป็นตำนาน เป็นศิลปินไอค่อนที่สร้างผลงานช่วงยุค 70s ให้โลกจดจำมากมาย เขาเริ่มต้นอาชีพนักร้องในวัย 19 ปี เมื่อนำเพลงของคนอเมริกันแอฟริกันมาขับร้องในลีลาใหม่ เพลงที่ Elvis นำเสนอในช่วงแรกผสมผสานจังหวะแบบอัปเทมโป-แบ็คบีตของคนผิวดำ เข้ากับการร้องและเอื้อนเสียงแบบเพลงคันทรี-ริธึมแอนด์บลูส์ ต่อมา Elvis ออกขายอัลบั้มแรก “Heartbreak Hotel” ในเดือนมกราคม ปี 1956 จนฮิตถล่มทลาย ติดอันดับ 1 ของชาร์ตจัดอันดับเพลงดังของสหรัฐฯ ยุคนั้น
Elvis เป็นเจ้าของสถิติที่น่าสนใจหลายเรื่อง ตั้งแต่การแสดงคอนเสิร์ตถ่ายทอดผ่านดาวเทียมในปี 1973 นับเป็นศิลปินคนแรก ๆ ของโลกที่ทำแบบนี้ และคอนเสิร์ตในครั้งนั้นได้รับการประเมินว่ ฝามีผู้รับชมรายการถ่ายทอดสดมากกว่า 1,500 ล้านคนทั่วโลก
นอกจากนั้น เขายังได้รับการยอมรับในฐานะผู้มีอิทธิพลอย่างยิ่งต่อผู้คนในศตวรรษที่ 20 เป็นศิลปินเดี่ยวที่มียอดขายมากที่สุดในประวัติศาสตร์เพลงป็อป เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลแกรมมี่ 14 ครั้ง ได้รับรางวัลทั้งหมด 3 ครั้ง และได้รับรางวัลแกรมมี่ในฐานะผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพตั้งแต่อายุ 36 ปี
คืนวันที่ 15 ส.ค. ปี 1977 Elvis เกิดนอนไม่หลับในช่วงที่ต้องนอนพักก่อนไปทัวร์คอนเสิร์ต จึงให้คนใกล้ชิดนำยานอนหลับมาให้ 3 ครั้ง ต่อมาช่วงบ่ายของวันรุ่งขึ้น คู่หมั้นของเขาก็พบร่างของเขานอนคว่ำหน้าอยู่ในห้องนอน ณ บ้านพักที่เมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี ทีมแพทย์ช่วยกันกู้ชีวิตอย่างไร้ความหวัง ผลการชันสูตรและผลทดสอบด้านพิษวิทยาพบว่า ขณะเสียชีวิตเขามีปริมาณยาอยู่ในร่างกายถึง 10 กว่าชนิด แต่ไม่พบสารเสพติดหรือแอลกอฮอล์
ถึงอย่างนั้น สารที่พบมากเป็นพิเศษคือปริมาณยาบรรเทาอาการปวดประเภทโคดีอีน ซึ่งมีปริมาณมากกว่าการใช้รักษาทั่วไปถึง 10 เท่า ท้ายที่สุดจึงมีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า Elvis เสียชีวิตด้วยสาเหตุหัวใจล้มเหลวจากการใช้ยารวมกันหลายขนาน ปิดฉากชีวิตในวัยเพียง 42 ปี
อันดับ 6 Bing Crosby นักร้อง-นักแสดง มหาเศรษฐีที่ทำรายได้หลัง “เสียชีวิต” มากที่สุด
4 ต.ค. ปี 1977 Harry Lillis “Bing” Crosby นักร้องเพลงแจ๊สและนักแสดงชาวอเมริกันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในทศวรรษ 20 เสียชีวิต ประวัติที่น่าสนใจของเขานั้นเริ่มตั้งแต่การเข้าเรียนกฎหมายที่วิทยาลัยกอนซากา และเริ่มตั้งวงดนตรีกับเพื่อน ๆ ออกแสดงตามคลับต่าง ๆ เขาเริ่มสนุกและทำเงินได้เยอะจึงตัดสินใจลาออกขณะเรียนอยู่ชั้นปีสุดท้าย
จากนั้นได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองลอสแองเจลสิส เริ่มอัดแผ่นเสียงครั้งแรกด้วยเพลง “I’ve Got The Girl” และได้ร่วมวงกับ Paul Whiteman หัวหน้าวงออร์เคสตรา จากนั้นเขาได้ตั้งวงของตัวเองชื่อว่า The Rhythm Boys และมีชื่อเสียงขึ้นเรื่อย ๆ จนแยกมาเป็นศิลปินเดียวในเวลาต่อมา
Bing Crosby เรียกตัวเองว่าเป็นนักครวญเพลง (The Groaner) เพราะลีลาการร้องเพลงและเสียงร้องที่ทุ้มนุ่ม ฟังสบายของเขา สามารถทำยอดจำหน่ายแผ่นเสียงมากกว่า 400 ชุด ส่งอิทธิพลต่อนักร้องรุ่นต่อ ๆ มาอีกหลายคนทั้ง Tony Bennett และ Frank Sinatra เพลงที่สร้างชื่อให้เขาได้แก่ “White Christmas”, “Silent Night” และ “Swinging On a Star”
ต่อมาเขาเข้าสู่วงการภาพยนตร์ในฐานะนักแสดง เคยได้รับรางวัลออสการ์ในฐานะนักแสดงยอดเยี่ยมในปี 1944 จากภาพยนตร์เรื่อง Going My Way นอกจากนี้ยังเขายังโด่งดังจากภาพยนตร์ชุด Road Film (1940-1962) อีกด้วย
Larry Mestel ซีอีโอของบริษัท Primary Wave บริษัทแถวหน้าที่กว้านซื้อสิทธิของศิลปินผู้ล่วงลับมาบริหารจัดการรวมถึงผลงานของ Bing Crosby ด้วยเล่าว่า Primary Wave ได้ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับเหล่าทายาทคนดังมากมาย เพราะทายาทเหล่านั้นอยากจะทำให้คนรุ่นใหม่รู้จักผลงานสุดคลาสสิกและโด่งดังมากในอดีตของบรรพบุรุษ
ยกตัวอย่างเช่นการนำเพลง “White Christmas” ของ Bing Crosby กลับมาขายใหม่จนทำเงินไปอีก 30 ล้านดอลลาร์ เพลงนี้ถูกเขียนขึ้นในปี 1942 จนกลายเป็นเพลงฮิต ครองสถิติขายแผ่นเสียงแบบเพลงเดียวได้มากที่สุดในโลกกว่า 50 ล้านแผ่น ส่วนในปี 2021 Bing Crosby ทำรายได้รวมไปทั้งสิ้น 33 ล้านดอลลาร์
อันดับ 5 Theodor Seuss Geisel (Dr.Seuss) นักเขียน
นักเขียนเจ้าของผลงานรวมกว่า 60 เรื่อง และ 16 เรื่องในนั้นจัดเป็นหนังสือเด็กที่ขายดีที่สุดตลอดกาล Theodor Seuss Geisel มีผลงานหนังสือเด่น ๆ อย่าง The Cat in the Hat และ Green Eggs and Ham เขาเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ดที่ทีแรกตั้งใจจะเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย แต่ก็ลาออกกลางคันในช่วงปี 1927 เพื่อไปเป็นนักเขียนการ์ตูนอย่างเต็มตัวที่สหรัฐฯ
ผลงานของเขาถูกตีพิมพ์ในนิตยสารหลายเล่มร่วมถึง Vanity Fair ซึ่งเป็นนิตยสารที่ดังที่สุดในโลกเล่มหนึ่งเวลานั้น แต่ก่อนหน้าจะประสบความสำเร็จ เขาก็เคยถูกปฏิเสธต้นฉบับมากกว่า 27 ครั้ง ก่อนที่สำนักข่าว Vanguard Press จะยอมรับผลงานของเขาตีพิมพ์เป็นที่แรก นอกจากนี้ เขายังทำงานคิดก๊อปปี้หรือคำโฆษณาให้กับบริษัทชั้นนำอีกหลายที่ไม่ว่าจะเป็นบริษัทยานยนต์ Ford Motor และสถานีโทรทัศน์ NBC
ผลงานของเขาที่ถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ฮิต ๆ ในช่วงหลัง ได้แก่ The Grinch Who Stole Christmas ฉายเมื่อปี 2000 นำแสดงโดยนักแสดงตลกแห่งยุค Jim Carrey ทำความสำเร็จไปถล่มทลาย ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่สร้างออกมาเป็นการ์ตูนแอนิเมชันก็ยังมี Horton Hears a Who! (2008) และ Lorax (2012)
นอกจากนี้ Theodor Seuss Geisel ยังได้เคยได้รับรางวัลพูลิตเซอร์ ในปี 1984 รางวัลนี้เป็นรางวัลสำหรับนักเขียนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นรางวัลที่สูงสุดของวงการนักเขียนสหรัฐฯ และเขายังได้รางวัลจากอุตสาหกรรมบันเทิงอย่างครบถ้วนทุกเวทีได้แก่ รางวัลออสการ์ รางวัลเอ็มมี่ และรางวัลแกรมมี่
เขาเสียชีวิตเมื่อ 24 ก.ย. ปี 1991 ขณะอายุได้ 87 ปี โดยในปี 2021 เขาสามารถทำรายได้จากลิขสิทธิ์ผลงานเขียนต่าง ๆ ที่ทิ้งไว้รวม 35 ล้านดอลลาร์ ประกอบไปด้วยรายได้จากการขายหนังสือ 7 ล้านดอลลาร์ ส่วนที่เหลือคือการขายสิทธิให้กับสตรีมมิ่งเจ้าใหญ่อย่าง Netflix เพื่อสร้างสร้างซีรีส์ทุนสูง Green Eggs and Ham ซึ่ง Netflix ก็เตรียมออกอากาศซีรีส์เรื่องนี้ในวันที่ 5 พ.ย.ปี 2022 นี้
อันดับ 4 Charles M. Schulz นักเขียน-นักวาดการ์ตูน
ผลงานของเขาที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลกก็คือ Peanuts การ์ตูนช่องที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในประวัติศาสตร์หนังสือพิมพ์ มีตัวละครเอกเป็นหนุ่มน้อย Charlie Brown และเจ้าหมา Snoopy เริ่มตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1950 ในหนังสือพิมพ์ 7 ฉบับ
ปัจจุบัน Charlie Brown ปรากฏในหนังสือพิมพ์กว่า 2,600 ฉบับ มีการแปลเป็น 25 ภาษาเพื่อเผยแพร่ใน 75 ประเทศทั่วโลก มีผู้อ่านมาแล้วรวมกว่า 355 ล้านคน นี่คือผลงานที่ประสบความสำเร็จที่สุดของ Charles M. Schulz
เขาเคยได้รับรางวัลรูเบนซึ่งถือว่าเป็นรางวัลสูงสุดระดับโลกด้านการเขียนการ์ตูนจากสมาคมนักเขียนการ์ตูนแห่งชาติถึงสองครั้งในปี 1955 และ 1964 ได้รับการโหวตจากนักเขียนการ์ตูนกว่า 700 คนทั่วโลก ให้เป็นนักเขียนการ์ตูนสากลประจำปี 1978 นอกจากนี้ ในปี 1990 รัฐบาลฝรั่งเศส ได้ประกาศเกียรติคุณแก่ Charles ในฐานะผู้ทรงคุณวุฒิด้านศิลปะและอักษรศาสตร์ มีผลงานของเขาจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ในกรุงปารีส ฝรั่งเศสด้วย
Charles M. Schulz เสียชีวิตในวัย 77 ปี เมื่อวันเสาร์ที่ 12 ก.พ. ปี 2020 ด้วยอาการแทรกซ้อนจากโรคมะเร็งลำไส้ โดยเขาเสียชีวิตหนึ่งวันก่อนที่การ์ตูนช่องชิ้นสุดท้ายของเขาจะตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ฉบับวันอาทิตย์ และเพื่อให้เป็นไปตามความประสงค์ของ Charles บริษัท United Features Syndicate ผู้ถือลิขสิทธิ์ของการ์ตูน Peanuts ไม่ให้ศิลปินคนอื่นวาดการ์ตูนชุดนี้ต่อจากเขา และจะทำการตีพิมพ์ซ้ำสิ่งที่ Charles วาดไว้นับจากปี 1974 ซึ่งนั่นก็ยังคงสร้างมูลค่ามหาศาล
ในปี 2021 หนึ่งปีหลังเสียชีวิต ผลงานของ Charles สร้างรายได้ไป 47 ล้านดอลลาร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการขายสิทธิในสตรีมมิงภาพยนตร์การ์ตูนแอนิเมชันและสิทธิในการสร้างใหม่ให้กับ Apple TV+ สตรีมมิ่งภายใต้การดำเนินงานของบริษัท Apple
อันดับ 3 Michael Jackson ศิลปิน-นักร้อง อดีตที่ 1 มหาเศรษฐีทำรายได้หลัง “เสียชีวิต” มากที่สุด 8 ปีซ้อน
ศิลปินราชาเพลงป๊อประดับตำนานที่แฟนเพลงยุค 80-90s ไม่มีใครจะไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ Michael Joseph Jackson เติบโตขึ้นมาในครอบครัวเล็ก ๆ ท่ามกลางสังคมที่เต็มไปด้วยปัญหาการแบ่งแยกสีผิวและการถูกกดขี่
เขาเริ่มสร้างชื่อให้ตัวเองด้วยการเป็นนักร้องนำในวงดนตรีของครอบครัวอย่าง The Jackson 5 ก่อนจะออกมาเป็นศิลปินเดี่ยวเต็มตัวเมื่อได้เซ็นสัญญากับค่าย Epic Records และปล่อยเดบิวต์อัลบั้ม Off the Wall ในปี 1979 ซึ่งโด่งดังถล่มทลาย
หลังจากนั้น Michael Jackson ก็สานต่อความสำเร็จ ปล่อยอัลบั้มระดับตำนาน พลิกวงการเพลงด้วยท่าเต้นใหม่ ๆ ทุกอัลบั้ม มิวสิกวิดีโอ และคอนเสิร์ตที่เปี่ยมความสร้างสรรค์ จากอัลบั้ม Thriller (1982), Bad (1987), Dangerous (1991), HIStory (1995) และ Invincible (2001)
และมีเพลงฮิตมากมาย ทั้ง Don’t Stop Til You Get Enough, Billie Jean, Beat It, Thriller, Bad และ Black or White ทำยอดขายอัลบั้มทั่วโลกไป 350 ล้านชุด มีเพลงติดอันดับ 1 ชาร์ต Billboard Hot 100 หรือชาร์ตการจัดอันดับเพลงฮิตที่สุดของสหรัฐฯ มากถึง 13 เพลง เป็นเจ้าของ 39 สถิติใน Guinness World Records
เขาเสียชีวิตเพราะได้รับยาจากการรักษามากเกินขนาดเมื่อปี 2009 ขณะอายุได้ 51 ปี และอยู่ในช่วงเตรียมจัดคอนเสิร์ต This Is It คอนเสิร์ตสุดท้ายที่ไม่ได้ถูกจัดขึ้น แต่มีการนำภาพเบื้องหลังมาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์สารคดีในชื่อเดียวกันกับคอนเสิร์ตภายหลัง
หลังจากนั้นตั้งแต่ปี 2013-2020 เขาครองอันดับ 1 ของมหาเศรษฐีที่ทำรายได้หลังเสียชีวิตมากที่สุดมาตลอด 8 ปี ส่วนในปี 2021 ตกลงมาอยู่ที่อันดับ 3 ทำรายได้ไปที่ 75 ล้านดอลลาร์
อันดับ 2 Prince ศิลปิน-นักร้อง
ศิลปินในชื่อจริงว่า Prince Rogers Nelson เสียชีวิตจากการใช้ยาเสพติดเกินขนาดเมื่อปี 2016 เมื่ออายุ 57 ปี เขามีพรสวรรค์ด้านดนตรีตั้งแต่ยังเด็กและกลายเป็นศิลปินนักร้องนักดนตรีระดับซูเปอร์สตาร์ของโลกในยุค 80s จากการสร้างสรรค์ผลงานดนตรีแนวร็อค พังค์และแจ๊ส
มีอัลบั้มที่ได้รับความนิยมสูงสุดได้แก่ Dirty Mind (1980), Controversy (1981), 1999 (1982), Purple Rain (1984) หรือ Sign o’ the Times (1987) รวมแล้วขายได้มากกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลก
โดยทายาทของ Prince สร้างรายได้จากการขายสิทธิเพลงฮิตต่าง ๆ ของ Prince ให้กับบริษัท Primary Wave ตัวอย่างเช่นเพลง “When Doves Cry” และ “Little Red Corvette” คิดเป็น 43% จากคลังเพลงทั้งหมดของ Prince ซึ่งแม้จะขายสิทธิต่าง ๆ ออกไปยังไม่ถึงครึ่ง แต่ทำรายได้ไปได้จากปี 2021 มากถึง 120 ล้านดอลลาร์
อันดับ 1 Roald Dahl นักเขียน
นักเขียนชาวอังกฤษก้าวขึ้นมาสู่อันดับ 1 บุคคลที่ทำรายได้หลังเสียชีวิตมากที่สุดในปีที่ผ่านมา หลังจากเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเมื่อ 31 ปีก่อนด้วยวัย 74 ปี นักเขียนเจ้าของผลงานกว่า 43 เรื่องซึ่งถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์แล้ว 16 เรื่อง นำโดย Charlie and the Chocolate Factory, James and the Giant Peach และ Matilda
โดยในปี 2021 บริษัท Roald Dahl Story บริษัทที่จัดการทรัพย์สินของ Roald สามารถสร้างรายได้ไปมากถึง 684 ล้านดอลลาร์ เมื่อ Netflix สตรีมมิงเจ้ายักษ์ของโลกจ่ายเงินซื้อลิขสิทธิ์ผลงานทั้งหมดของ เขามาสร้างเป็นซีรีส์แอนิเมชัน
Netflix เริ่มตกลงซื้อลิขสิทธิ์ผลงานของ Roald Dahl ตั้งแต่ปี 2018 ก่อนได้รับสิทธิโดยสมบูรณ์เมื่อเดือน ก.ย. ปี 2021 หวังจะสร้างเป็นซีรีส์ขนาดยาว โดยมีตัวละครเอกอย่าง Willy Wonka เจ้าของโรงงานช็อกโกแลตสุดแหวกแนวเป็นตัวชูโรง
บทนี้เคยเป็นบทที่โด่งดังของ Johnny Depp ในหนัง Charlie and the Chocolate Factory ฉบับปี 2005 ทำรายได้ทั่วโลกไป 475 ล้านดอลลาร์
ส่วนผลงานเรื่องแรกของ Roald Dahl จะหยิบมาสร้างเป็นภาพยนตร์ภายใต้ชายคา Netflix คือ Matilda นำแสดงโดย Emma Thompson และนักแสดงเด็ก Alisha Weir สตรีมมิงเดือน ธ.ค. ปี 2022
นอกจากนั้น Netflix ยังสามารถหยิบเอาตัวละครไหนก็ได้ในจักรวาลงานเขียนของ Roald Dahl จากงานเขียนกว่า 300 เล่มไปใช้ รวมไปถึงสิทธิในการสร้างวิดีโอเกมส์ ขายของเล่น และการสร้างภาพยนตร์สำหรับฉายในโรงภาพยนตร์ด้วย
จากการซื้อขายในครั้งนี้ทำให้ทายาทของ Roald Dahl ซึ่งถือหุ้นส่วนใหญ่ของบริษัท Roald Dahl Story รับรายได้จากผลงานของบรรพบุรุษไปราว 513 ล้านดอลลาร์ อดเปรียบเทียบไม่ได้ว่าพวกเขาก็แทบจะเหมือน Charlie ที่ได้รับโรงงานช็อกโกแลตของ Willy Wonka เลยทีเดียว
จากข้อมูลจากการจัดอันดับนี้ที่น่าสนใจก็คือ อาชีพนักเขียนและศิลปินผู้แต่งเพลง ได้กลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับผู้สร้างผลงานหลังเสียชีวิตมากที่สุดมาตลอด 5 ปีที่มีการจัดอันดับ
นอกจากนี้ใน 10 อันดับก็ยังมี Arnold Palmer นักแข่งกอล์ฟชื่อดังในอันดับ 8 ทำรายได้ไป 27 ล้านดอลลาร์ (จากการขายสิทธิเครื่องดื่มน้ำมะนาวเจ้าดังในสหรัฐฯ), Gerry Goffin นักแต่งเพลงคนดังในยุค 60s ในอันดับ 9 ทำรายได้ 23 ล้านดอลลาร์, Luther Vandross นักแต่งเพลงผิวดำเจ้าของเพลงฮิตยุค 80s ในอันดับ 10 รายได้ 23 ล้านดอลลาร์
เห็นแบบนี้พี่ทุยคงต้องขอตัวไปฝึกเขียนหนังสือดัง ๆ และหัดแต่งเพลงให้ปัง ๆ เหมือนกับพวกมหาเศรษฐีเหล่านี้บ้าง เผื่อจะโด่งดังและมีรายได้หลังจากบ๊ายบายโลกนี้ไปแล้ว และยังเหลือเงินไว้ให้เจ้าทุยน้อย ๆ อีกหลายตัว เริ่มจากเพลงนี้เลย “ฉันขี่ไอ้ทุยวิ่งลุยท้องนา ฮึ้ย ฮึ้ย ฮึ้ย ฮึ้ย…”
อ่านเพิ่ม
อ้างอิง