ช่วงนี้หุ้นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดก็คงหนีไม่แพ้ “หุ้น AOT” ที่ในเวลาสั้น ๆ ราคาก็ตกลงมามากกว่า 15% ซึ่ง AOT เองก็ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจไทยที่อาการไม่ค่อยสู้ดีนัก รวมไปถึงเศรษฐกิจโลกเองก็แย่ไม่แพ้กัน เพราะช่วงนี้มีปัจจัยต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบทางลบมากมายเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสงครามการค้า ความกลัวจะเกิดสงครามครั้งใหม่หรือล่าสุดก็คือเรื่องของเชื้อไวรัสโคโรน่า ซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่เมือง Wuhan ประเทศจีน ถึงแม้จะยังไม่ได้ระบาดไปทั่วโลกและก็สร้างความวิตกกังวลให้กับทุกคนไม่น้อย เรื่องนี้พี่ทุยขอแนะนำให้เราเลือกเสพและแชร์อย่างมีสตินะจ๊ะ จะได้ไม่ตื่นตระหนกและเครียดกันจนเกินเหตุ เดี๋ยวขาดทุนทางอารมณ์นะ อิอิ
อย่างที่เกริ่นไปว่า สถานการณ์ภายนอกไม่ค่อยสู้ดีนัก ซึ่งปัจจัยที่ส่งผลกระทบในระดับโลกก็ส่งผลโดยตรงถึงหุ้นบางกลุ่ม คงเดากันไม่ยากใช่มั้ยว่ากลุ่มไหน? ใช่เเล้ว ก็คือกลุ่มเกี่ยวข้องกับการบินและโรงแรมยังไงล่ะ นี่ช่วยกันตอบบ้างนะ อย่าให้พี่ทุยถามเองตอบเองสิ (ฮ่าๆ) สรุปง่าย ๆ อะไรที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวเนี่ย กระทบหมดแหละ หุ้นที่เราจะมาพูดถึงกันในวันนี้ก็คือหุ้นตัวเป้งที่เกี่ยวกับการเดินทาง ไม่ว่าจะเพื่อไปทำธุระหรือท่องเที่ยวอย่าง AOT หรือท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย
ก่อนที่จะไปพูดถึงเรื่องผลกระทบ ซึ่งต้องบอกเลยว่าช่วงนี้ AOT เค้าโดนชกซะน่วมพอสมควรเลย มาดูความยิ่งใหญ่ของ AOT กันหน่อย
ประเด็นแรก คือเรื่องของมูลค่าทางการตลาด (Market cap) ที่ใหญ่มากกว่า หนึ่งล้านล้านบาท ทำให้เป็นธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าทางการตลาด (Market cap) สูงสุดอันดับที่ 2 เป็นรองแค่ ปตท. เท่านั้น เพราะฉะนั้นจึงเรียกได้ว่าหุ้น AOT เป็นหนึ่งในหุ้นเเข็งแกร่งที่เรียกกันว่า “หุ้นบลูชิพ” ความยิ่งใหญ่ของเค้ายังไม่ได้จบแค่นี้ เพราะเค้าจัดเป็นหุ้นที่มีมูลค่าทางการตลาดสูงที่สุดอันดับ 1 ของโลกในกลุ่มสนามบิน (รองลงมาคือ สนามบิน AENA ของประเทศสเปน)
ประเด็นสอง คือ เค้าเป็นหุ้นที่รายได้และกำไรมีการเติบโตตลอด ยกเว้นในช่วงปี 2552 ที่มีม็อบการเมืองปี 2557 ที่มีการรัฐประหารและในปี 2562
และสิ่งที่ผู้ที่สนใจลงทุนในหุ้นบลูชิพตัวนี้ควรรู้ก็คือ ปัจจุบัน AOT มีกิจการอยู่ 6 สนามบิน คือ สนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ ภูเก็ต เชียงใหม่ หาดใหญ่และแม่ฟ้าหลวง โดยรายได้หลักเกือบ 60% ของ AOT มาจากธุรกิจเกี่ยวกับการบิน เช่น ค่าบริการในการขึ้น-ลงจอดเครื่องบิน ค่าเช่าพื้นที่เก็บเครื่องบิน และรายได้ส่วนที่เหลือเป็นส่วนที่ไม่เกี่ยวกับการบิน เช่น ค่าเช่าพื้นที่เปิดร้านรวงต่าง ๆ ในสนามบิน เพราะฉะนั้นลูกค้าของ AOT จะไม่ใช่คนทั่วไป แต่คือสายการบินนะ โดยมีการบินไทยเป็นลูกค้ารายใหญ่ และรายได้ของ AOT จะโตได้ก็ต่อเมื่อมีการขยายสนามบิน เหมือนร้านอาหารไงจ๊ะ ขยายสาขาออกไปก็รองรับคนได้มากขึ้น มีรายได้และกำไรมากขึ้น ตอนนี้เค้าก็มีโครงการจะขยายสนามบินเชียงใหม่กับภูเก็ตเฟส 2 นะ
ช่วงปี 2562 ที่ผ่านมา ถ้าได้ฟังข่าวคร่าว ๆ จะเห็นว่า AOT โดนกระทบหลายเรื่องเลย ทั้งเรื่องภายในและภายนอก เรียกได้ว่าดาวศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกได้เลย มาลิสต์กันสิว่ามีอะไรบ้าง
ปัจจัยภายในที่กระทบ AOT
หุ้นที่เติบโตมาโดยตลอดอย่าง AOT มีการเติบโตของกำไรและรายได้ลดลง ส่วนนึงเพราะในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม เค้าต้องจ่ายค่าที่ดินราชพัสดุของกรมธนารักษ์เพิ่มจำนวน 242.38 ล้านบาท ต่อด้วยเรื่องที่เป็นที่พูดถึงกันมากอย่างการที่ King power เป็นผู้ได้สิทธิ์ใน Duty free ของสนามบินดอนเมือง ซึ่งมีวงเงินประกันขั้นต่ำต่ำกว่าที่ตลาดคาดมาก ราคาหุ้น AOT หลังจากที่ข่าวนี้ออกไปก็เลยปรับตัวลงเล็กน้อย เรื่องภายในที่กระทบการท่องเที่ยวภายในประเทศที่จะลืมพูดถึงไม่ได้เลยคือ เรื่องของฝุ่น PM 2.5 ซึ่งทำให้หลายคนเลือกที่อยู่บ้านมากกว่าจะตะลอนออกไปเที่ยว แต่ในความเห็นพี่ทุย เรื่องนี้อาจจะไม่ได้ส่งผลต่อรายได้ของ AOT มากมาย เพราะว่าการเดินทางภายในประเทศมีให้เลือกหลากหลาย ทั้งการไปรถยนต์ส่วนตัว การขึ้นรถไฟ การขึ้นรถทัวร์
ปัจจัยภายนอกที่กระทบ AOT
ในเมื่อรายได้หลักเกือบ 60% ของเค้ามาจากธุรกิจเกี่ยวกับการบิน AOT ก็เลยจะอ่อนไหวต่อเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวพอสมควร และการเดินทางและการท่องเที่ยวที่ผ่านมามีผลต่อ /AOT มากที่สุด ก็คือการเดินทางระหว่างประเทศ มีรายงานในปี 2018 ว่า ว่าผู้ที่มาใช้บริการ AOT นั้นเป็นชาวต่างชาติ57% และชาวไทย 43% ซึ่งเมื่อเทียบกับสนามบินของประเทศอื่นแล้ว ถือว่าสนามบินแห่งชาติของเรามีสัดส่วนผู้โดยสารชาวต่างชาติเยอะทีเดียว
และนักท่องเที่ยวประเทศที่มีบทบาทต่อการท่องเที่ยวไทยมากที่สุดก็คือจีน โดยเป็นสัดส่วนเกือบหนึ่งในสามของนักท่องเที่ยวทั้งหมดเลย ในปี 2018 ชาวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในไทยมากที่สุดอันดับ 1 ก็คือจีน
รองลงมาก็คือ มาเลเซียและเกาหลีตามลำดับ แต่มาเลเซียและเกาหลีคิดเป็นสัดส่วนที่ทิ้งห่างจากนักท่องเที่ยวจีนหลายเท่าตัวเลย
เพราะฉะนั้นรายได้ของ AOT ก็เลยค่อนข้างแปรผันไปตามนักท่องเที่ยวจีน ทั้งเรื่องการที่ได้รายได้จากสายการบินระหว่างประเทศที่มาจากจีนเป็นหลักหรือแม้แต่เที่ยวบินในประเทศก็สูญเสียรายได้นะ เพราะรายได้ส่วนนึงก็มาจากการเดินทางภายในประเทศเพื่อท่องเที่ยวของคนจีน เช่น ลงเครื่องที่สุวรรณภูมิแต่ขึ้นเครื่องในประเทศไปเที่ยวภูเก็ตต่อ อะไรอย่างนี่ เป็นต้น นอกจากนี้เรื่องของการซื้อสินค้า Duty free ในสนามบินก็กระเทือนด้วย เพราะคนจีนมียอดซื้อสินค้า Duty free มากกว่าคนชาติอื่น ๆ กว่าเท่าตัว พอมีหลายประเด็นที่ทำให้นักท่องเที่ยวจีนหดก็เลยทำให้เค้าชะงักไปนิด ๆ ด้วย เช่น
เหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ตในเดือนกรกฎาคม 2561 ยอดนักท่องเที่ยวจีนวูบไปเล็กน้อยถึง 20% ในเดือนตุลาคม แต่เมื่อสิ้นปีก็กลับมาบูมตามเดิม
แต่ปีที่ผ่านมามีเรื่องที่เข้ามามากกว่าเรื่องของอารมณ์ชั่วครั้งชั่วคราวอย่างเรื่องการปิดน่านฟ้าของปากีสถาน การประท้วงที่ฮ่องกง ของสงครามการค้าระหว่างจีนและอเมริกา ซึ่งนอกจะทำให้คนจีนเครียด ก็ยังต้องมานั่งลุ้นเรื่องภาษีนู่นนี่นั่นเเล้ว อีกทั้งยังมีผลต่อค่าเงินหยวนด้วย
จากภาพ ค่าเงินหยวนเมื่อเทียบกับค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเรื่อย ๆ ตั้งเเต่ปี 2559 พูดง่าย ๆ ว่า การที่ค่าเงินอ่อนค่านี้จะทำให้อำนาจในการซื้อของเค้าลดลง สมมุติถ้าคนจีนคนหนึ่งเอาเงินเข้ามาเที่ยวไทย 1,000 หยวนในช่วงก่อนปี 2559 จะแลกเป็นเงินไทยได้ประมาณ 5,500 บาท แต่ถ้าเป็นในช่วงปลายปีที่เเล้ว จะเอาไปแลกเงินไทยได้แค่ประมาณ 4,300 บาทเท่านั้น
พออำนาจของเงินเค้าลดลงแล้ว ผลที่ตามมาซึ่งเราพอจะคาดเดาได้ก็คือ คนจีนคงเซ็งแล้วก็มาเที่ยวไทยน้อยลงไงเพราะของสินค้าและบริการของไทยดูแพงมากขึ้นเกือบ 30%
เรื่องสุดท้ายที่กระทบการท่องเที่ยวอย่างแรงคือเรื่องที่กำลังถูกพูดถึงแทบทุกช่วงรายการและทุกช่องทางอย่าง ไวรัสโคโรนา(Corona Virus) จนมีคำสั่งห้ามไม่ให้กรุ๊ปทัวร์จีนออกมาท่องเที่ยวนอกประเทศ นายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยวไทยกล่าวว่ามาตรการสั่งห้ามกรุ๊ปทัวร์จีนนี้จะส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนมาไทยลดลงประมาณ 1.2-1.3 ล้านคนเลยทีเดียว
นอกจากจะกระทบ AOT แล้ว ก็ยังกระทบถึง GDP ของไทยด้วยแหละ เพราะเราเป็นประเทศที่การท่องเที่ยวมีผลต่อ GDP ถึง 10% เลย พี่ทุยก็หวังว่าสถานการณ์ล่าสุดของเชื้อไวรัสโคโรนาจะคลี่คลายลงและทุกอย่างกลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิมเร็ว ๆ นะ เพราะถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ AOT คงไม่ได้สูญเสียรายได้เฉพาะของคนจีนไปเท่านั้น แต่น่าจะส่งผลถึงชาติอื่น ๆ ด้วย เพราะคงไม่มีใครอยากออกมาเที่ยวนอกประเทศให้เสี่ยงมากขึ้นอย่างแน่นอน
Comment