ในวัฏจักรของ ตลาดหุ้น นั้นย่อมมีขึ้นมีลง เป็นธรรมชาติของตลาดที่จะมีการซื้อขายกันตามอุปสงค์-อุปทาน ความคาดหวังของนักลงทุนหรือจากการวิเคราะห์จากทฤษฎีต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์เศรษฐกิจ วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน วิเคราะห์ปัจจัยเทคนิค
ถ้านักลงทุนส่วนใหญ่มีมุมมองที่เป็นบวกจะส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดปรับตัวขึ้นจนทำให้เกิดแนวโน้มขาขึ้น (Up Trend) แต่ถ้านักนักลงทุนส่วนใหญ่มีมุมมองที่เป็นลบจะส่งผลให้ราคาหุ้นในตลาดปรับตัวลดลง (Down Trend) สิ่งที่ส่งผลให้เกิดความเสียหายกับพอร์ตนักลงทุนส่วนใหญ่ ก็คือ เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลดลงจนเกิดแนวโน้มขาลง เพราะอัตราผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับจะลดลงหรือไม่ก็ติดลบ แล้วเราต้องเตรียมอย่างไรเมื่อตลาดหุ้นปรับตัวเป็นขาลง ? พี่ทุยจะมาบอกให้ฟัง
1. รอจังหวะซื้อหุ้นที่ราคาถูก
การซื้อหุ้นที่ราคาถูกในยามที่สภาพตลาดหุ้นอยู่ในขาลงนั้น ไม่ได้หมายความว่านักลงทุนจะซื้อหุ้นที่ราคาลดลงมาได้ทุกตัว หุ้นที่ซื้อจะต้องผ่านการวิเคราะห์มาแล้วว่าเป็น “หุ้นพื้นฐานดี” ซึ่งหมายความว่าหุ้นตัวนี้จะต้องมีความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง มีผู้บริหารที่มีความสามารถ มีโอกาสที่ธุรกิจจะขยายตัวต่อเนื่อง และสามารถเอาตัวรอดได้แม้เศรษฐกิจถดถอย
การที่หุ้นเหล่านี้มีราคาลดลงอาจเป็นเพราะ กิจการทำกำไรได้ต่ำกว่าที่คาดไว้ เกิดเหตุความไม่สงบในประเทศ ภัยพิบัติ หรืออาจจะเป็นข่าววงในของกิจการโดยตรง เราจึงต้องวิเคราะห์ให้ดี มิฉะนั้นหุ้นที่ซื้อไปอาจจะเป็นหุ้นที่ไม่มีคุณภาพ
2. DCA (Dollar Cost Average)
การลงทุนแบบ DCA คือ การซื้อหุ้นทุก ๆ เดือนในปริมาณที่เท่ากัน ซึ่งช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลว่าต้องการซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำ หรือซื้อหุ้นไม่ทันในตอนที่ราคาดีดตัวกลับ หลักการนี้จะไม่สนใจเรื่องของราคา เพราะมีการถัวเฉลี่ยราคาจากการซื้อทุกเดือน แถมเป็นการฝึกวินัยในการออมให้กับนักลงทุนเอง
3. ปรับสัดส่วนเงินลงทุน
วิธีนี้ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่นักลงทุนทุกท่านต้องเตรียมเมื่อตลาดหุ้นเป็นขาลง เพราะเป็นการกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินประเภทอื่นที่แตกต่างจากหุ้น และกระจายความเสี่ยงของพอร์ตตัวเองได้ดี เช่น ในยามที่สภาวะตลาดหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้น พอร์ตการลงทุนของนักลงทุนทั่วไปอาจจะเป็น ลงทุนในหุ้น 80% ตราสารหนี้ 20%
แต่ถ้าเมื่อใดที่ตลาดหุ้นกลับเป็นขาลงขึ้นมา นักลงทุนก็อาจจะปรับสัดส่วนของพอร์ตตัวเองเป็น ตราสารหนี้ 45% เงินฝากธนาคาร 30% เพื่อเสริมสภาพคล่อง ลงทุนในหุ้นอีก 25% เป็นต้น ดังนั้นนักลงทุนควรปรับสัดส่วนการลงทุนไปตามสภาวะตลาดในแต่ละช่วง เพื่อรักษาเงินลงทุนของตนเอง
4. เก็งกำไรขาลง
ในตลาดขาลง การซื้อ หรือ ถือหุ้นอาจเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายสำหรับนักลงทุนโดยทั่วไป แต่มีก็มีนักลงทุนที่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสโดยใช้สินทรัพย์ทางการเงินเก็งกำไรได้ นั่นก็คือ ตราสารอนุพันธ์โ ดยจะแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ
(1) ฟิวเจอร์ส
เป็นตราสารอนุพันธ์ชนิดหนึ่งที่นักลงทุนส่วนมากใช้เพื่อเก็งกำไร และเอาไว้ป้องกันความเสี่ยง เช่น SET50 Futures สามารถเปิดสถานะขายเมื่อ “ตลาดหุ้น” เป็นขาลง และเปิดสถานะซื้อเมื่อตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น
(2) ออปชั่น
เป็นตราสารอนุพันธ์อีกชนิดหนึ่งที่นักลงทุนส่วนมากใช้เพื่อเก็งกำไร และเอาไว้ป้องกันความเสี่ยง เช่น DW (Derivative Warrant,ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์) จะออกโดยบริษัทหลักทรัพย์และมีผู้ดูและสภาพคล่อง ในตลาดหุ้นที่เป็นขาลงนักลงทุนก็จะซื้อ Put Dw และซื้อ Call Dw เมื่อตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น
5. ทองคำ
การซื้อทองคำในยามที่ ตลาดหุ้น อยู่ในขาลงก็เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องเตรียมตัวเช่นกัน เพราะทองคำเป็น Safe Haven (ในที่นี้หมายถึงสินทรัพย์ปลอดภัย) ที่มีค่าทุกสถานการณ์ยิ่งในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ สงคราม ภัยพิบัติต่างๆ และยังไม่ถูกลดมูลค่าจากนโยบายการเงินของประเทศใดประเทศหนึ่ง
Comment