เหตุการณ์ Trade War เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน ก็มีข่าวใหม่ที่เข้ามากระทบตลาดหุ้นสหรัฐอย่างต่อเนื่อง ทำให้เหล่าหุ้นธุรกิจออนไลน์ยักษ์ใหญ่ในสหรัฐต่างร่วงระนาว โดยสาเหตุของการลดลงของราคานี้เกิดจาก กระทรวงยุติธรรมสหรัฐเริ่มตรวจสอบการผูกขาด หรือ Antitrust ในกลุ่มธุรกิจยักษใหญ่ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี อย่าง Google Amazon Facebook และ Apple
จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ส่งผลให้ตลาด NASDAQ ลดลงจาก 7,453.15 เหลือ 7333.02 ลดลง 120.13 จุด หรือ (-1.61%) เลยทีเดียว ในขณะที่ NASDAQ 100 ลดลง จาก 7,127.96 เหลือ 6,978.02 ลดลง 149.94 จุด หรือ (-2.10%)
ข้อมูล ณ วันที่ 3 มิถุนายน 2562
หุ้นเหล่านี้กระทบตลาดเท่าไหร่ ?
การขึ้นลงของหุ้นที่มีขนาดใหญ่นั้นจะมีผลต่อดัชนีเป็นอย่างมาก โดยในปัจจุบันในตลาด NASDAQ หุ้นเทคโนโลยีเป็นหุ้นกลุ่มที่มีน้ำหนักและมีผลกระทบต่อดัชนีอยู่แล้ว โดยหุ้นใหญ่ที่กระทบ Nasdaq 100 คือ Amazon (AMZN) -4.64%, Facebook (FB) -7.51%, Microsoft (MSFT) -3.1%, Google (GOOG, GOOGL) -6.11%, -6.12% และ Apple (AAPL) -1.01% กระทบ NASDAQ -100 ลดลง 33.8 จุด, 26.8 จุด, 24.6 จุด, 19.8 จุด, 17.4 จุด และ 7 จุดตามลำดับ
เมื่อรวมผลกระทบของหุ้นทั้ง 5 บริษัทนี้เข้าด้วยกันส่งผลให้ NASDAQ-100 ลดลงถึง 129.4 จุด ในขณะที่ NASDAQ-100 ในวันนั้นลดลง 149.94 จุด นั่นหมายความว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้ง 5 บริษัทนี้มีผลตลาด NASDAQ-100 เป็นอย่างมากเลยทีเดียว
แล้ว Antitrust Law คืออะไร ? มีเพื่ออะไร ?
Antitrust Law หากแปลเป็นไทยคือกฏหมายต่อต้านการผูกขาด โดยคำว่านั้น Trust มาจากคำว่าไว้วางใจ Antitrust จึงหมายถึงการไม่ไว้วางใจบริษัทนั้นจะผูกขาดทางธุรกิจ กฏหมาย Antitrust Law เป็นกฏหมายของรัฐบาลกลางสหรัฐที่มีขึ้นเพื่อป้องกัน และต่อต้านการผูดขาด
เพราะการที่องค์กรหรือธุรกิจที่มีการผูกขาดทางการค้า หรือรายใหญ่ควบคุมตลาดเกือบทั้งหมด จะส่งผลให้ผู้บริโภคเสียผลประโยชน์ และการแข่งขันทางธุรกิจเกิดความไม่เป็นธรรมขาดเสรีภาพ อีกทั้งยังทำให้ธุรกิจในรูปแบบเดียวกันที่เกิดใหม่อยู่รอดและเติบโตได้ยากอีกด้วย เพื่อสร้างเสถียรภาพทางธุรกิจและผลประโยชน์ของผู้บริโภคจึงต้องมีกฏหมาย Antitrust เข้ามาช่วยในการควบคุมธุรกิจ
ตัวอย่างในธุรกิจเทคโนโลยีในปัจจุบันนั้นจะมียักษ์ใหญ่ในวงการมากมาย หากยกตัวอย่างที่ชัดเจนก็คงไม่พ้น Facebook บริษัทโซเชียลมีเดียที่มีผู้ใช้งานประจำ (Montly Active User) สูงถึง 2.38 พันล้านบัญชีต่อเดือนทั่วโลกเลยทีเดียว และถึงแม้จะเป็นโซเชียลมีเดียที่ฟรี แต่ก็มีหลายๆคนสงสัยถึงความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้และการนำข้อมูลผู้ใช้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ และในปัจจุบันสื่อโฆษณาเกือบทุกธุรกิจก็แทบจะเลี่ยง Facebook เพื่อเป็นสื่อกลางและศึกษาข้อมูลของลูกค้าได้เลย
อีกทั้งธุรกิจยักษ์ใหญ่อย่าง Facebook ยังมีการซื้อบริษัทหรือธุรกิจใกล้เคียงกันเป็นจำนวนมาก ตัวอย่างเช่น Whatapps และ Instagram ซึ่งทำให้มีอำนาจการต่อรองและควบคุมธุรกิจสื่อออนไลน์ที่สูง และส่งผลให้เกิดการผูกขาดจนธุรกิจเกิดใหม่หรือ Startup ในรูปแบบคล้ายๆกันไม่สามารถเกิดได้ และสา่เหตุนี้จึงเป็นเหตุให้สหรัฐกังวลว่าบริษัทเหล่านี้จะส่งผลให้เกิดการผูกขัดในธุรกิจเทคโนโลยีหรือไม่
ตัวอย่างธุรกิจที่ถูกตรวจสอบและเข้าข่าย Antitrust ?
ในอดีตบริษัทยักษ์ใหญ่หลายบริษัทเคยถูกตรวจสอบและเข้าข่าย Antitrust แต่ด้วยขนาดบริษัทที่ใหญ่ก็มาด้วยอำนาจการต่อรองที่มหาศาล ทำให้หลายๆครั้งกว่าจะรู้ผลชี้ขาดก็กินเวลาเป็นสิบปี บริษัทยักษใหญ่ที่ถูกตรวจสอบในอดีตได้แก่ Rockefeller’s Standard Oil, Microsoft, AT&T และ Kodak
ตัวอย่างผลลัพธ์ของ AT&T บริษัทสื่อสารยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เริ่มถูกตรวจสอบในปีค.ศ.1974 และใช้เวลานานถึง 7 ปีจนได้ผลสรุป ทำให้บริษัท AT&T ต้องแยกออกเป็น 8 บริษัทกระจายการดูแลไปแต่ละภาคของอเมริกา จนสุดท้ายในปัจจุบันหลังผ่านศึกร้อนหนาวควบรวมจนหลงเหลือเพียงแค่ 3 บริษัท ได้แก่ AT&T, Verizon และ Qwest
ก็ต้องดูต่อไปว่าบริษัทเทคโนโลยีในปัจจุบันเหล่านี้จะถูกพิจารณาอย่างไร แล้วกฏหมาย Antitrust Law นี้จะใช้เวลาพิจารณายาวนานขนาดไหน ถึงจะรู้ผล
Comment