ตอนนี้พี่ทุยว่าถ้าเราเลื่อน Newsfeed ไปเรื่อยๆต้องมีเรื่องนึงที่ผ่านตาเราบ่อยแน่ๆ นั่นก็คือเรื่องของ “ภาษี” เพราะปลายปีจะเป็นช่วงที่หลายๆคนจะมาตื่นตัวเรื่องของภาษีกัน ว่าจะซื้ออะไรลดหย่อนบ้าง ปีนี้เราจะต้องจ่ายหรือได้ภาษีคืนเท่าไหร่ แล้วถ้าเราวางแผนขอคืนภาษีดีดี พี่ทุยบอกได้เลยว่าเงินคืนภาษีที่เราได้รับก็ไม่ใช่น้อยๆเลยล่ะ แต่เงื่อนไขก็คือถ้าเราจะจัดการเรื่องภาษีเราต้องจัดการให้เสร็จก่อนวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปีเท่านั้น
พอเราพูดถึงเรื่องการลดหย่อนภาษี พี่ทุยว่าเราหนีไม่พ้นเรื่อง ประกันชีวิต LTF RMF เนี้ยแหละ เพราะสรรพากรเค้าให้สิทธิลดหย่อนภาษีกับสินค้าการเงิน 3 ตัวนี้ คำถามพี่ทุยได้รับบ่อยๆ ก็คือ แล้วจะใช้ตัวไหนลดหย่อนภาษีดีล่ะ ? เพราะแต่ละตัวก็ลดหย่อนได้เหมือนกัน พี่ทุยบอกเลยว่าเราต้องดูที่เป้าหมายการเงินของเราว่าเราเหมาะกับสินค้าตัวไหน
ถ้าเราต้องการสร้างหลักประกันให้กับครอบครัวหรือเก็บออมเงินความเสี่ยงต่ำ แน่นอนว่าหนีไม่พ้นประกันชีวิต หรือถ้าเราอยากลงทุนในตลาดหุ้นไทยเน้นลงทุนระยะยาวแน่นอนว่าก็ต้องเป็น LTF ส่วนถ้าเราอยากเก็บเงินสำหรับเกษียณอายุกันไปเลยก็ไม่มีอะไรเหมาะไปกว่า RMF แน่นอน
แต่บทความนี้พี่ทุยขอพูดถึง ประกันชีวิตก็แล้วกันเนอะ เพราะ LTF RMF มีคนพูดถึงเยอะแล้ว เดี๋ยวประกันชีวิตจะกลายเป็นลูกเมียน้อยซะก่อน (ฮ่า) อย่างพี่ทุยเกริ่นไปในตอนต้นว่า “ประกันชีวิต” เหมาะสำหรับการสร้างหลักประกันให้กับครอบครัวหรือเรื่องการออมเงิน แต่ต้องบอกว่าจริงๆแล้วแค่ตัวของประกันชีวิตเองก็มีหลากหลายประเภทอยู่เหมือนกัน
ดังนั้นเราต้องเข้าใจก่อนว่า “ประกันชีวิต” ถูกสร้างมาเพื่อ “รับประกัน” อะไรบางอย่างให้กับชีวิตเรา และเพื่อความเข้าใจพี่ ทุยขอยกตัวอย่างประกันชีวิตจาก กรุงไทย-แอกซ่า ละกัน เพื่อจะให้เห็นภาพมากขึ้น
“รับประกัน” ว่าถ้าเราเป็นอะไรไปครอบครัวเราจะมีความเป็นอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนไป นั่นก็คือ “ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ” เน้นคุ้มครอง ถ้าแบบประกันที่น่าจะตอบโจทย์ก็คือ “iProtect S“ สามารถทำได้ง่ายๆเลย เพราะเบี้ยแค่วันละ 88 บาทเท่านั้น แล้วถ้าเกิดเราเป็นอะไรไปขึ้นมาครอบครัวเราก็จะได้เงินไปเลย 1,000,000 บาท เป็นการเอาเงินก้อนเล็กๆสร้างเงินก้อนใหญ่นั่นเอง
แต่ถ้าจะ “รับประกัน” ว่าเมื่อชีวิตเราผ่านไปเราจะมีเก็บออมไว้ก้อนนึงเพื่อเป้าหมายอะไรบางอย่าง ก็ต้องเป็น “ประกันชีวิตแบบออมทรัพย์” เน้นเก็บออมเงิน ก็คงต้องเป็นแบบ “iGen” จ่ายเบี้ย 6 ปี รับเงินคืนก้อนโตปีที่ 10 แถมยังได้เงินคืนปีละ 2% ของทุนประกันด้วย เห็นได้ว่าจะเน้นเงินที่เราได้รับคืนเลย
สองแบบด้านบนที่บอกมา เราสามารถเอาเบี้ยประกันไปลดหย่อนภาษีได้แต่ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี* แล้วถ้าเป็นแบบสุดท้ายเราต้องการ “รับประกัน” ว่าเมื่อเราแก่ตัวไปเราจะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าเราให้ใช้เรื่อยๆแน่นอน ก็ต้องเป็น “ประกันชีวิตแบบบำนาญ” นั่นเอง
มาถึงประกันแบบนี้ มันจะแตกต่างจากประกันชีวิตสองแบบด้านบน เพราะว่าเงื่อนไขที่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้นั้นแตกต่างกันออกไป แบบนี้จะสามารถนำเบี้ยของ “ประกันชีวิตแบบบำนาญ” มาลดหย่อนภาษีได้ 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษีแต่ต้องไม่เกิน 200,000 บาท* แล้วเมื่อนับรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือกบข.แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท เงื่อนที่แตกต่างออกไปต้องระวังการใช้ด้วย อย่าสับสนเพราะสิทธิการลดหย่อนไม่เหมือนกับประกันชีวิตแบบทั่วไป
ส่วนแบบประกันที่น่าสนใจจากกรุงไทย-แอกซ่าก็คือ “iRetire1″ และ “iRetire5″ การจ่ายเบี้ยประกันก็จะตามเลขของชื่อแบบประกัน อย่าง “iRetire1″ ก็เป็นการจ่ายเบี้ยปีเดียวจบเลย ส่วน “iRetire5″ จ่ายเบี้ยประกัน 5 ปีก็หยุดจ่าย
ซึ่งทั้ง 2 แบบเมื่อเราอายุ 60 ปี เราจะได้เงินคืนทุกๆปี ปีละ 5% สำหรับ “iRetire1″ และ 20% สำหรับ “iRetire5″ เราก็จะได้รับเงินบำนาญไปเรื่อยๆตลอดจนอายุ 85 ปี หรือถ้าใครอยากรับเงินเป็นรายเดือนก็สามารถทำได้เช่นกัน ข้อดีของประกันแบบบำนาญ ที่สุดก็คือ เราสามารถมั่นใจได้เลยว่าเมื่อเราเกษียณเราจะได้มีเงินก้อนหนึ่งใช้อย่างแน่นอน
แต่ก็อย่างว่าอะเนอะ “ประกันชีวิต” ก็มีหลากหลายแบบให้เราเลือกซื้อมากมายเหลือเกิน แล้วไหนๆเราจะซื้อประกันเพื่อลดหย่อนภาษีอยู่แล้ว พี่ทุยว่าก็ควรเลือกแบบประกันชีวิตให้เหมาะสมกับ “ความต้องการ” ของเราด้วยนั่นแหละดีที่สุด
การวางแผนภาษียิ่งลงมือทำเร็วมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งได้ประโยชน์กับตัวเราเองมากเท่านั้น เรื่องขอคืนภาษีพี่ทุยว่าเรื่องใหญ่นะเพราะทำให้เรามีเงินเก็บมากขึ้น อย่ารอให้ถึงวันสิ้นปีค่อยมาจัดการกัน พี่ทุยว่าจัดการวันนี้ แล้วปีหน้าก็เริ่มจัดการตั้งแต่ต้นปีเลย !!
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่
*เงื่อนไขเป็นไปตามที่กรมสรรพากรกำหนด
#KrungthaiAXA #อยากขอก็รีบขอ #ขอคืน