เทคนิคออมเงิน ให้สนุก เก็บเงินได้จริง

เทคนิคออมเงิน 3 วิธี ให้สนุก เก็บเงินได้จริง

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • การออมเงินเป็นเรื่องไม่ค่อยสนุก แต่สามารถเติมรสชาติได้ด้วยการเปลี่ยนให้เป็นเกม สร้างกฎออมเงินแบบแปลกใหม่เข้ามา
  • การเก็บแบงก์ 50, การเคลียร์เศษเหรียญ รวมถึงการตั้งกฎออมเงินหลังการใช้จ่าย ช่วยให้ออมเงินเพิ่มขึ้นได้หลักพันบาทต่อเดือนเลยทีเดียว
  • เก็บเงิน ออมเงินได้อย่างสบายใจ กับบัญชีเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (DPA) คุ้มครองอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อ 1 รายผู้ฝากต่อ 1 สถาบันการเงิน

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

1. เทคนิคออมเงิน เก็บแบงก์ 50 ทุกใบที่เจอ ห้ามใช้เด็ดขาด

“เทคนิคออมเงิน” สุดคลาสสิคที่ใครอยากเริ่มเก็บเงินต้องทำกันแน่นอน ทุกครั้งที่เจอแบงก์ 50 บาท ให้แยกเก็บไว้ทันที ห้ามใช้เด็ดขาด เดือนนึงอาจเก็บได้หลายร้อยหรือเป็นพันแบบไม่รู้ตัว จากประสบการณ์ตรงพี่ทุยเองเคยเก็บได้เป็นพันเลยเหมือนกัน

แต่สมัยนี้วิธีนี้อาจจะไม่ค่อยเวิร์คมากเท่าไหร่เพราะทุกวันนี้เราอยู่ในยุค Cashless Society สแกนจ่ายเพื่อโอนเงินกันหมดแล้ว แต่ส่วนตัวพี่ทุยว่าเมื่อจ่ายเงินสดก็ลุ้นเพื่อให้ได้เงินทอนแบงก์ 50 สนุกดีเหมือนกันนะ

เก็บแบงก์ 50 บาททุกที่ที่เจอ

2. เก็บเศษเหรียญ เพิ่มเงินออมได้ทุกอาทิตย์

อันนี้ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนพี่ทุยมั้ย กระเป๋าตังค์ของผู้ชายส่วนมากไม่ค่อยมีช่องเก็บเหรียญเยอะ หรือบางอันก็ไม่มีเลย การเก็บเหรียญเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยสะดวก พี่ทุยเลยมักจะเคลียร์เหรียญและหยอดไว้ในโหลบ้าง วางไว้ไม่เป็นที่บ้าง

แต่ถ้าเรารวบรวมเก็บไว้ที่เดียวเป็นระเบียบ ไม่หลงลืมไว้ที่อื่น ก็รวมได้เป็นหลักร้อยหลักพันตลอดเลย

เก็บเศษเหรียญ เพิ่มเงินออมได้ทุกอาทิตย์

3. ออมเงินเพิ่ม เมื่อใช้จ่ายแบบฟุ่มเฟือย

อีกหนึ่งวิธี เทคนิคออมเงิน ที่พี่ทุยยังใช้จนถึงทุกวันนี้เลยก็คือ เมื่อเรามีการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย นอกเหนือจากค่าใช้จ่ายจำเป็นปกติ พี่ทุยจะเก็บ 20% ของรายจ่ายนั้นเพิ่มขึ้นเสมอ ยิ่งใช้ ยิ่งจ่ายมาก ก็จะยิ่งมีเงินออมมากขึ้น

แล้วสมัยนี้ทำง่ายสะดวกมากขึ้น เพราะมี Mobile Banking ทำได้ทันที แถมบางธนาคารก็มีโปรแกรมหักออมทุกครั้งเมื่อเราสแกนจ่ายเงิน รู้ตัวอีกที เปิดมาดูก็มีเงินออมเพิ่มขึ้นหลายพันเลยนะ

ออมเงินเพิ่ม เมื่อใช้จ่ายแบบฟุ่มเฟือย

จะออมเงินได้ เป้าหมายต้องชัด

การออมเงินให้สำเร็จได้นั้น ต้องอาศัยวินัยอย่างมาก

จริงๆ แล้วนะครับ การออมเงินมันเหมือนการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่วิ่ง 100 เมตร หลาย ๆ คนเริ่มต้นด้วยความกระตือรือร้น แต่พอผ่านไปสักพักเดียว ก็เริ่มหมดไฟ เริ่มหาข้อแก้ตัว “เดือนนี้มีงานเลี้ยง” “เดือนนี้มีของจำเป็นต้องซื้อ” “เดือนหน้าค่อยเริ่มใหม่” และสุดท้ายก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม

ปัญหาใหญ่ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ออมเงินไม่สำเร็จ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเราขาดเป้าหมายในการออมที่ชัดเจนก็ได้ เหมือนคนที่ออกเดินทางโดยไม่รู้จุดหมาย จะเดินไปไหน ทำไมต้องเดิน และจะรู้ได้อย่างไรว่าถึงแล้ว

ทำไมเป้าหมายถึงสำคัญขนาดนั้น

ลองนึกภาพดู ถ้าเราบอกคนสองคนให้วิ่ง คนแรกเราบอกว่า “วิ่งไปเรื่อยๆ นะ” คนที่สองเราบอกว่า “วิ่งไปที่ป้ายรถเมล์หน้าห้าง ถ้าไปถึงจะได้เงิน 1,000 บาท” คิดว่าใครจะวิ่งได้ไกลกว่ากัน คนแรกจะเริ่มวิ่งด้วยความกระตือรือร้น แต่พอเหนื่อยหน่อย เขาจะเริ่มสงสัยว่า “วิ่งไปทำไม วิ่งไปถึงไหน เมื่อไหร่จะหยุดได้” สุดท้ายเขาจะหยุดวิ่งเพราะไม่เห็นจุดหมาย แต่คนที่สองจะมีแรงผลักดันที่ชัดเจน เขารู้ว่าต้องไปไหน ทำไมต้องไป และจะได้อะไรเมื่อไปถึง แม้จะเหนื่อย แต่เขาจะบอกตัวเองว่า “อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวจะถึงแล้ว เงิน 1,000 บาทรอเราอยู่”

การตั้งเป้าหมายที่แข็งแรง

การตั้งเป้าหมายการออมที่แข็งแรงไม่ใช่แค่การพูดว่า “อยากมีเงินเยอะๆ” หรือ “อยากรวย” แต่ต้องเป็นเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง มีตัวเลขชัดเจน มีกรอบเวลา และที่สำคัญ มันต้องมีความหมายสำหรับเราจริงๆ ยกตัวอย่าง แทนที่จะตั้งเป้าหมายว่า “อยากมีเงินเก็บเยอะๆ” ให้เปลี่ยนเป็น “อยากมีเงิน 500,000 บาท ภายใน 3 ปี เพื่อซื้อบ้านให้พ่อแม่ได้พักผ่อนอย่างสบาย”

เห็นความแตกต่างไหม เป้าหมายแรกมันคลุมเครือ ไม่รู้ว่าเยอะเท่าไหร่ เมื่อไหร่จะสำเร็จ และทำไมต้องทำ แต่เป้าหมายที่สองมีทุกอย่างครบ มีตัวเลข มีเวลา และที่สำคัญ มีเหตุผลที่ทำให้หัวใจเต้นแรง

พลังของการเห็นทางเดินข้างหน้าที่ชัดเจน

เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว มันจะช่วยให้เราเห็นทางเดินข้างหน้าได้อย่างชัดเจน เราจะรู้ว่าต้องออมเดือนละเท่าไหร่ ต้องลดรายจ่ายตรงไหนบ้าง และจะใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะไปถึงเป้าหมาย เช่น ถ้าอยากมีเงิน 500,000 บาทใน 3 ปี เราจะรู้ทันทีว่าต้องออมเดือนละประมาณ 14,000 บาท ถ้าเงินเดือนเรา 30,000 บาท เราจะรู้ว่าต้องใช้ชีวิตด้วยเงิน 16,000 บาทต่อเดือน

การรู้ตัวเลขแบบนี้จะทำให้เราตัดสินใจได้ง่ายขึ้นในชีวิตประจำวัน เวลาเจอของอยากซื้อ เราจะถามตัวเองว่า “ของชิ้นนี้สำคัญกว่าเป้าหมายบ้านให้พ่อแม่ไหม” ส่วนใหญ่แล้ว คำตอบจะเป็น “ไม่” และเราจะเดินผ่านไปได้ง่ายๆ

แรงฮึดสู้ในทุกๆ วัน

นี่คือสิ่งที่พี่ทุยเห็นมาเยอะมาก คนที่มีเป้าหมายชัดเจนจะมีแรงฮึดสู้ในการดำเนินชีวิต เพราะเขารู้ว่า “ปลายทางของเราคืออะไร” ทุกเช้าที่ตื่นมา เขาจะรู้ว่าทำไมต้องไปทำงาน ทำไมต้องอดทน ทำไมต้องเสียสละ แทนที่จะมองว่าการออมเงินเป็นการ “ลิดรอนตัวเอง” เขาจะมองว่าเป็นการ “ลงทุนในอนาคต” แทนที่จะรู้สึกว่าการไม่ซื้อของที่อยากได้เป็นเรื่อง “น่าเศร้า” เขาจะรู้สึกว่าเป็นการ “ก้าวไปใกล้เป้าหมายอีกหนึ่งก้าว”

เทคนิคการตั้งเป้าหมายให้มีพลัง

  1. ให้เป็นเป้าหมายที่จับต้องได้ อย่าพูดแค่ว่า “อยากรวย” แต่พูดว่า “อยากมีเงิน 1 ล้านบาท”
  2. กำหนดเวลาที่ชัดเจน ไม่ใช่ “สักวันหนึ่ง” แต่เป็น “ภายใน 5 ปี”
  3. ต้องมีเหตุผลที่แข็งแกร่ง ไม่ใช่เพื่อ “อวด” แต่เพื่อ “ดูแลครอบครัว” หรือ “มีเสรีภาพทางการเงิน”
  4. แบ่งออกเป็นเป้าหมายย่อย ถ้าเป้าหมายใหญ่คือ 1 ล้านบาท แบ่งเป็น 100,000 บาทใน 6 เดือนแรก
  5. มองเห็นภาพได้ชัดเจน ลองจินตนาการว่าเมื่อไปถึงเป้าหมายแล้ว เราจะรู้สึกอย่างไร ชีวิตเราจะเป็นอย่างไร

การออมเงินโดยไม่มีเป้าหมายเหมือนการขับรถในเวลากลางคืนโดยไม่เปิดไฟหน้า เราจะไม่รู้ว่าจะไปถึงไหน และจะเจอหลุมบ่ออะไรบ้างระหว่างทาง แต่การออมเงินที่มีเป้าหมายชัดเจนเหมือนการขับรถที่มี GPS บอกทาง เรารู้ว่าจะไปไหน ใช้เวลานานแค่ไหร่ และจะผ่านเส้นทางอะไรบ้าง

อ่านบทความพี่ทุยบนช่องทาง Facebook ได้ที่นี่ คลิกเลย !

อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile
บทความนี้เป็นบทความ Advertorial