หลังจากที่พี่ทุยได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับ “ประกันชีวิต” ไปหลายบทความแล้ว คงจะไม่มีใครที่ไม่เห็นคุณค่าของประกันชีวิตอีกต่อไป ถ้าเราพูดถึงประกันชีวิต พี่ทุยคิดว่าภาพของประกันชีวิตหลายๆคน อาจจะต้องมองประมาณว่า มั่นคง แน่นอน ชัดเจน แบบว่า จ่ายเบี้ยกี่ปี ? ได้ผลตอบแทนเท่าไหร่ ? ต้องรอกี่ปีถึงจะได้เงินคืน ? แล้วประกันชีวิตก็เป็นสินค้าการเงิน “ระยะยาว” ซะด้วย
พอเป็นภาระ “ระยะยาว” แบบนี้แล้ว ถ้าจ่ายไม่ครบตามที่กำหนดก็จะโดนค่าปรับ เผลอๆขาดทุนเข้าไปอีก ทำให้คนส่วนใหญ่เจอ “ข้อจำกัด” เรื่องระยะยาวของประกันข้อนี้ไปก็ถึงกับไม่ทำประกันเลยก็มี
พี่ทุยว่าน่าเสียดายมากเลยนะ เพราะประกันชีวิตจริงๆเป็นสินค้าการเงินตัวเดียวเลยก็ว่าได้ ที่ช่วยได้ครบทั้ง “พีระมิดทางการเงิน” ที่ประกอบไปด้วย
1. การสร้างความมั่งคั่ง (Wealth Creation )
เมื่อเวลาที่เราถอนเงินก่อนจะมีค่าปรับ ก็ช่วยทำให้เราเก็บออมได้ดีมากขึ้น (แน่ล่ะสิ ! ใครจะอยากถอนตังค์แล้วโดนปรับเน้าะ)
2. การปกป้องความมั่งคั่ง (Wealth Protection)
ในกรณีที่เราเป็นอะไรไป คนข้างหลังเราก็จะได้ “ทุนประกัน” ไปใช้จ่ายไม่ต่างจากตอนที่เราไม่อยู่เลย
3. การสะสมความมั่งคั่ง (Wealth Accumulation)
แน่นอนว่าการใช้ประกันชีวิตช่วยสร้างความมั่งคั่ง อาจจะได้ผลตอบแทนไม่สูงมาก แต่ก็ยังดีกว่าเก็บเงินไว้ในตู้เซฟที่เงินเราไม่โตขึ้นเลยสักนิดเดียว
4. การส่งต่อความมั่งคั่ง (Wealth Distribution)
สุดท้ายการที่เราส่งต่อเงินเราด้วยประกันชีวิต ทุนประกันที่ลูกหลานเราได้ และแน่นอนว่ามันเป็นอะไรที่ “ปลอดภาษี”
พี่ทุยเลยมองว่าน่าเสียดายมากเลย ถ้าจะไม่ใช้ “ประกันชีวิต” ในการวางแผนการเงินเลย รู้กันหรือไม่ว่าจริงๆแล้วโลกเราก็มีแบบประกันแบบหนึ่งที่เรียกว่า “ยูนิต ลิ้งค์ (Unit Linked)” หรือแบบประกันชีวิตควบการลงทุน ที่ช่วยทำให้ “ข้อจำกัด” ที่เรามีหายไป หรืออย่างน้อยๆก็ทำให้ข้อจำกัดดูเบาบางลง เป็นประกันชีวิตที่มีความ “ยืดหยุ่น” มากขึ้น
ความยืดหยุ่นของ “ยูนิต ลิ้งค์ (Unit Linked)” คืออะไร ?
“ความยืดหยุ่น” อย่างแรกที่ “ยูนิต ลิ้งค์ (Unit Linked)” มาช่วยปรับก็คือ “ระยะเวลา” การจ่ายเบี้ยประกัน จากเดิมแบบประกันโดยทั่วไป เราจะต้องจ่ายเบี้ยระยะยาวๆ อาจจะ 10 ปี 20 ปี หรือแบบสั้นๆอย่างน้อยก็ต้องมี 5 ปี แต่ “ยูนิต ลิ้งค์ (Unit Linked)” มีบางแบบที่จ่าย 1 ปีก็ได้ !! เช่น “แบบประกันควบการลงทุน iInvest จากกรุงไทยแอกซ่า” และตั้งแต่ปีที่ 2 เป็นต้นไปเราก็สามารถจ่ายเบี้ยเมื่อไหร่ก็ได้ตามที่ต้องการ
“ความยืดหยุ่น” อีกอย่าง ก็คือเรื่อง “ผลตอบแทน” จากเดิมเราจะรู้ล่วงหน้าเลยว่าถ้าเราถือไปจนครบอายุกรมธรรม์ ก็จะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย (IRR) ปีละเท่าไหร่ ?
แต่ถ้าเป็นประกันควบการลงทุน เราสามารถเลือกตามระดับความเสี่ยงของตัวเราได้เลย ว่า “เงินส่วนลงทุน” ของเราจะนำไปลงทุนประเภทอะไรและสัดส่วนเท่าไหร่บ้าง ?
ถ้าใครเสี่ยงได้มากหน่อย ก็เลือกกองทุนหุ้นเยอะหน่อย แต่ถ้าเสี่ยงได้น้อยก็อาจจะใช้กองทุนตลาดเงินในสัดส่วนที่สูงมากยิ่งขึ้น ทำให้เราสามารถคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากกรมธรรม์ได้ ผลตอบแทนที่มากขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปก็จะทำให้เราได้รับเงินคืนมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
สำหรับ “แบบประกันควบการลงทุน iInvest จากกรุงไทย–แอกซ่า“ ก็จะมีกองทุนรวมประเภทต่างๆให้เราเลือกลงทุนได้เองเลย ทั้งตราสารหนี้ระยะสั้นและตราสารหนี้ระยะยาว กองทุนรวมผสม รวมไปถึงตราสารทุนด้วย ซุ่งเราสามารถเลือกกองทุนประเภทต่างๆ มาจัดทำ Asset Allocation ได้เลยโดยที่ไม่ต้องไปซื้อทีละกองทุนให้วุ่นวาย แต่เราสามารถซื้อที่หลายๆกองทุนได้เลยถ้าเราซื้อกองทุนผ่านแบบประกันชีวิตควบการลงทุนในครั้งเดียว
แล้วถ้าใครรับความเสี่ยงได้มากหน่อยก็อาจจะจัดพอร์ตแบบที่มีตราสารทุนหรือหุ้นเยอะหน่อย แต่ถ้ารับได้น้อยเราก็สามารถเลือกลงทุนในตราสารหนี้ในสัดส่วนที่สูงได้
พี่ทุยย้ำเตือนเสมอว่า “สินค้าการเงิน” แต่ละตัวก็มี ข้อดี-ข้อเสีย แตกต่างกันไป เราจะเลือกซื้อตัวไหนก็ขึ้นอยู่กับว่า “เป้าหมายการเงิน” ของเราเป็นแบบไหนนั่นแหละ
และสำหรับใครที่สนใจต้องการอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมของ “แบบประกันควบการลงทุน iInvest จากกรุงไทย–แอกซ่า” คลิกอ่าน ที่นี่ ได้เล้ยยย
ลองมาอ่านการ์ตูนสนุกๆเข้าใจง่ายๆกันได้ด้านล่างนี้เล้ยยยยยย