"รูดบัตรเครดิต" ที่ต่างประเทศ เค้าคิดค่าธรรมเนียมอย่างไร ?

“รูดบัตรเครดิต” ที่ต่างประเทศ เค้าคิดค่าธรรมเนียมอย่างไร ?

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • “รูดบัตรเครดิต” ที่ต่างประเทศ นอกจากจะต้องแลกเงินแล้ว ยังต้องเสียค่าธรรมเนียมแลกเงินหรือ “ค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงิน” ด้วย
  • “บัตรเครดิต” ถือเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนี่งในการท่องเที่ยวต่างประเทศ นอกจากไม่ต้องพกเงินสดเยอะๆแล้ว บางทียังได้โปรโมชั่นดีๆจากการรูดบัตรเครดิตอีก

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

“รูดบัตรเครดิต” ในการซื้อของในประเทศคงเป็นสิ่งที่ปกติที่ใครๆก็เคยทำ แต่สำหรับความฝันของใครหลายๆคนรวมทั้งพี่ทุยด้วยก็คือ การเดินทางไปท่องเที่ยวเปิดหูเปิดตาในประเทศต่างๆ ทุกครั้งที่จะไปท่องเที่ยวต่างประเทศก็มักจะต้องแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นสกุลของประเทศนั้นๆ เพื่อเอาไว้จับจ่ายซื้อของหรือชอปปิ้ง แต่จะพกเงินสดไปเยอะๆ ก็อันตรายเสี่ยงที่จะโดนขโมยหรือเงินสูญหายได้

“บัตรเครดิต” ถือเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนี่งในการท่องเที่ยวต่างประเทศ นอกจากไม่ต้องพกเงินสดเยอะๆแล้ว บางทียังได้โปรโมชั่นดีๆจากการรูดบัตรเครดิตอีก แต่ก่อนจะไปรูดปรื๊ดๆนั้น อย่าลืมว่ามันมีค่าธรรมเนียมเวลาที่เราไปรูดบัตรเครดิตที่ต่างประเทศด้วย เป็นค่าธรรเนียมที่เรียกว่า “ค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงิน” หรือเรียกง่ายๆว่า “ค่าธรรมเนียมแลกเงิน” เนี้ยแหลโดยส่วนใหญ่ทางธนาคารเจ้าของบัตรจะคิดที่ 2-2.5% ของยอดเงินที่ใช้จ่าย ซึ่งมีกันหมดทุกธนาคาร เพราะธนาคารเค้าก็ต้องป้องกันความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนที่ขึ้นๆลงๆด้วย

พี่ทุยแนะนำว่า ก่อนเดินทางลองเช็ค “ค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงิน” ของธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตที่เราจะนำไปใช้ซะหน่อย ถ้ามีบัตรเครดิตหลายใบก็ลองเปรียบเทียบดูว่าเจ้าไหนค่าธรรมเนียมถูกสุด บางทีบางเจ้าอาจจะมีโปรโมชั่นลดค่าธรรมเนียมบางช่วงเวลา บางเจ้าอาจจะมีโปรโมชั่นพิเศษที่ตรงกับความต้องการในการใช้จ่ายต่างประเทศของเรา เช่น เครดิตเงินคืนเมื่อใช้จ่ายต่างประเทศ รับคะแนนสะสม 2 เท่าเมื่อใช้จ่ายในต่างประเทศ สิทธิฟรีค่าที่พัก เป็นต้น

เมื่อเราเลือกบัตรเครดิตได้แล้ว ก็จะรู้ค่าความเสี่ยงคือเท่าไหร่ แล้วเวลารูดบัตรเครดิตเราสามารถคำนวนจำนวนเงินที่จะถูกเรียกเก็บได้ โดยเริ่มจาก

  1. รู้อัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินประเทศที่ท่องเที่ยวแปลงเป็นค่าเงินบาทก่อน แต่ต้องดูเรทที่ตรงกับวันที่เรารูดบัตรเครดิตด้วยนะ ซึ่งสามารถเข้าไปเช็คจากเว็บไซต์ตามประเภทของบัตรเครดิตที่เราถือ เช่น VISA, Mastercard, AMEX, JCB, UnionPay เป็นต้น ซึ่งแต่ละประเภทก็มีอัตราแลกเปลี่ยนถูกแพงต่างกัน
  2. พอได้จำนวนเงินที่แปลงเป็นบาทแล้วก็เอาไปคูณกับ “ค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงิน” ก็จะได้ค่าธรรมเนียมที่เราต้องจ่าย
  3. เอายอดราคาสินค้าที่แปลงเป็นเงินบาทบวกกับค่าธรรมเนียม ก็จะได้จำนวนเงินที่เราต้องจ่ายให้กับธนาคาร

พี่ทุยแนะนำว่าก่อนเดินทาง ก็อย่าลืมโทรไปแจ้งธนาคารก่อนนะว่าจะเดินทางไปประเทศอะไรบ้าง ใช้บัตรใบไหน เพราะถ้าลืมแจ้งแล้วไปรูดใช้ในต่างประเทศ เราอาจโดนระงับบัตรโดยไม่รู้ตัว เพราะธนาคารจะคิดว่าบัตรเราอาจโดนขโมยไปใช้ เนื่องจากอยู่ๆก็มีการรูดในต่างประเทศ ไม่อย่างงั้นไปเที่ยวแล้วมีเงินไม่พอชอปปิ้งจะหมดสนุกเอานะ

สุดท้ายสำหรับคนที่จะอยากวางแผนไปเที่ยวลองดูบทความ อยากไปเที่ยวแต่มีงบจำกัด ต้องเตรียมตัววางแผนการเงินอย่างไร ? ก็น่าช่วยทำให้ได้วางแผนไปเที่ยวได้ง่ายๆด้วยล่ะ 

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile