จะดีกว่าไหมถ้าเราใช้เงินแค่ 2,000 บาท เพื่อซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่า 20,000 บาทได้ หากเรามีโอกาสกำไร เราก็จะสามารถทำกำไรได้มากขึ้นกว่าตอนที่เรามี 2,000 บาทแล้วลงทุนเพียง 2,000 บาทนั่นเอง โดยกลยุทธ์แบบนี้จะเรียกว่าการ Leverage แล้ว Leverage คืออะไร เอาไปใช้กับอะไรได้บ้าง
Leverage คืออะไร ?
ถ้าเรานำว่าคำว่า “Leverage” ไปแปลความหมายแบบตรงไปตรงมาก็จะแปลว่า “คานงัด” แต่ถ้าในแง่มุมของด้านการลงทุน ก็คือเครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการลงทุนให้สูงขึ้น ช่วยทำให้เราสามารถทำผลตอบแทนได้มากขึ้น (แน่นอนว่าก็ทำให้เรามีโอกาสขาดทุนเยอะขึ้นด้วยเช่นกัน)
สมมติว่าเราต้องการลงทุนในทองคำทั้งหมด 10 บาท ถ้าทองคำตอนนี้ราคาบาทละ 25,000 บาท แปลว่าเราต้องเตรียมเงินลงทุนทั้งหมด 250,000 บาท ไปซื้อทองคำ เราถึงจะสามารถลงทุนในทองคำ 10 บาทได้ แต่การทำ “Leverage” คือการที่เราวางหลักประกันบางส่วนเท่านั้นตามเงื่อนไขของสัญญา ณ ช่วงเวลาต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น เราลงทุนผ่าน Gold Future โดยเราจะนำเงินไปวางเพียง 20,000 บาทเท่านั้น ก็เปรียบเสมือนถือทองคำหนัก 10 บาทได้
ราคาทองคำปรับขึ้นเป็น 26,000 บาท แปลว่าเราก็จะได้กำไรบาทละ 1,000 บาท แล้วเราถืออยู่ 10 บาท แปลว่าเราจะได้กำไร 10,000 บาท กรณีที่เราถือทองคำ 10 บาทอยู่จริง ๆ กำไร 10,000 บาท จากเงินลงทุน 250,000 บาท แปลว่าเราจะได้กำไรรวมทั้งหมด 4% แต่ถ้าเราใช้ “Leverage” ผ่านเครื่องมือต่าง ๆ ในกรณีนี้คือ ถือ Gold Future แทนการเงินวางหลักประกัน 20,000 บาท แล้วได้กำไร 10,000 บาท แปลว่าเราจะได้กำไรสูงถึง 50% !!
ข้อเสียของการ Leverage คืออะไร ?
แน่นอนว่าในทางกลับกันถ้าราคาทองคำปรับตัวลดลงเหลือ 24,000 บาท การถือทองคำ 10 บาทอยู่จริง ๆ จะขาดทุน 10,000 บาท แปลว่าเราจะขาดทุนทั้งหมด 4% แต่ถ้าเราลงทุนผ่าน Gold Future เราจะขาดทุนสูงถึง 50% !!
เครื่องมือในตลาดการลงทุนที่ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการลงทุนให้สูงขึ้น ได้ก็จะเป็นตราสารอนุพันธ์ประเภทต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Future, Option, Forward, Swap และ Derivative Warrant ซึ่งตราสารอนุพันธ์แต่ละประเภทก็มีลักษณะเฉพาะเป็นของตัวเอง มีอัตราทดที่แตกต่างกัน ยิ่งมีอัตราทดสูง ก็ยิ่งมีความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง..
ติดตามคำศัพท์การเงินอื่น ๆ ได้ที่นี่
Comment