Berkshire Hathaway (BRKB) บริษัทลงทุนที่ปู่ วอร์เรน บัฟเฟตต์เป็น ซีอีโอ รายงานในผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2023 ว่า ในไตรมาสนี้ มีการถือเงินสดเพิ่มขึ้นเป็น 147,380 ล้านดอลลาร์ เพราะอะไร วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถือเงินสดเพิ่ม 5 ล้านล้านบาท คิดอะไรอยู่ แล้วถือเงินสดมันดีหรือไม่ดียังไง วันนี้ พี่ทุยจะมาวิเคราะห์ให้ฟัง
สรุปสาระสำคัญจากรายงานผลประกอบการ Berkshire Hathaway ไตรมาส 2/2023 (30 มิ.ย.2023)
- กำไรจากการดำเนินงาน 10,040 ล้านดอลลาร์ +7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
- รายได้รวม 92,500 ล้านดอลลาร์ +21% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
- อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้รายได้จากการลงทุนเพิ่มขึ้น เนื่องจากลงทุนมากใน ตั๋วเงินระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 5%
- วอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังมั่นใจการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ แม้ Fitch Ratings จะลดอันดับความน่าเชื่อถือรัฐบาลสหรัฐฯ จาก AAA เหลือ AA+
การถือเงินสดของ Berkshire Hathaway
- ไตรมาส 2/2023: 147,380 ล้านดอลลาร์ +12.83% (QoQ)
- ไตรมาส 1/2023: 130,620 ล้านดอลลาร์ + 2.05% (QoQ)
- ส่วนไตรมาส 4/2022: 128,000 ล้านดอลลาร์
การลงทุนในหุ้น
ไตรมาส2/2023
- ขายสุทธิ 7,980 ล้านดอลลาร์
- รับรู้กำไรที่ยังไม่เกิดขึ้น (unrealized gain) +26,000 ล้านดอลลาร์
- ส่วนใหญ่รับรู้กำไรที่ยังไม่เกิดขึ้น จากหุ้น Apple
ไตรมาส 1/2023 ขายสุทธิ 10,400 ล้านดอลลาร์
รวมครึ่งปีแรก 2023 ขายสุทธิ 18,380 ล้านดอลลาร์
ปี 2022 ซื้อสุทธิ 34,000 ล้านดอลลาร์
ทำไม วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถือเงินสดเพิ่ม
ถ้าย้อนไปดูเหตุผลจากไตรมาส 1/2023 ที่ Berkshire ถือเงินสดสูงถึง 130,620 ล้านดอลลาร์ ปู่วอร์เรน ยอมเลือกที่จะถือเงินสดเยอะขึ้น ก็เพราะว่า ยังไม่สามารถหาหุ้นบริษัทที่ดีที่อยู่ในราคายุติธรรมได้ จึงต้องถือเงินสดเอาไว้ก่อน ท่ามกลางสถานการณ์ที่ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นต่อเนื่อง
ในไตรมาส 2/2023 นี้ ก็น่าจะมีเหตุผลที่สอดคล้องกัน เห็นได้จากการที่ Berkshire มีสถานะขายสุทธิในหุ้น คือ ขายมากกว่าซื้อ แปลว่า ยังมองหาหุ้นราคายุติธรรมไม่เจอ ก็เลยเลือกที่จะยังไม่กลับเข้าไปซื้อหุ้นในตอนนี้ ขณะเดียวกันก็มีการถือพันธบัตรสหรัฐฯ เอาไว้มากขึ้น ซึ่งในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ อยู่ในระดับสูงถึง 5% แบบนี้ จึงทำให้การถือพันธบัตรระยะสั้น ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำกว่าหุ้น ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า 5% แล้ว
นักลงทุนถือเงินสดกันเยอะแค่ไหน
อันที่จริงแล้ว ถ้าเราจะดูการถือเงินสด ก็อาจจะตอบยากหน่อยว่า ตอนนี้คนทั่วโลกถือเงินสดกันเยอะแค่ไหน เพราะต้องนับรวมทั้ง เงินสดที่ถือไว้กับตัว เงินสดที่อยู่ในบัญชีธนาคาร รวมทั้ง สินทรัพย์ที่เทียบเท่าเงินสด เช่น กองทุนรวมตลาดเงิน ซึ่งเน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล ระยะสั้นๆ
โดยถ้าลองดูข้อมูลการถือเงินสด เฉพาะที่เป็นกองทุนรวมตลาดเงิน อ้างอิงข้อมูลจาก Investment Company Institute (ICI) พบว่า มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) ในกองทุนรวมประเภทนี้เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
AUM กองทุนรวมตลาดเงินทั่วโลก
- 9 ส.ค. 2023 5.53 ล้านล้านดอลลาร์
- 28 มิ.ย. 2023 5.43 ล้านล้านดอลลาร์
- 29 มี.ค.2023 5.20 ล้านล้านดอลลาร์
ที่มา Investment Company Institute (ICI)
สิ่งที่น่าสนใจกว่า มูลค่าของกองทุนรวมตลาดเงินที่เพิ่มขึ้น ก็คือ อัตราผลตอบแทน (yield) จากการลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน
จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 5.50% ในการประชุมเมื่อวันที่ 26 ก.ค.2023 ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนของกองทุนรวมตลาดเงิน มีโอกาสให้ผลตอบแทนในระดับสูงไม่ต่างกัน โดยปัจจุบันกองทุนรวมตลาดเงินในสหรัฐฯ หลาย ๆ กองให้ผลตอบแทนได้ในระดับ 5% ต่อปี หรือมากกว่านั้น
อย่างไรก็ตาม แม้ในระยะสั้น กองทุนรวมตลาดเงินจะให้ผลตอบแทนได้สูง เพราะอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูง แต่ถ้ามองกันแบบยาว ๆ แล้ว กองทุนรวมตลาดเงินมีความเสี่ยงต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับกองทุนรวมทุกประเภท และมีโอกาสให้ผลตอบแทนระยะยาวได้น้อยที่สุด
ข้อมูลจาก T. Rowe Price พบว่า ถ้าเราลองวัดมูลค่าของเงิน 10,000 ดอลลาร์ เมื่อเวลาผ่านไป 30 ปี ตามข้อมูล ณ วันที่ 31 มี.ค. 2023 ว่าจะเติบโตได้เท่าไหร่ ถ้าลงทุนในสินทรัพย์แต่ละประเภท พบว่า การลงทุนในหุ้น ก็ยังเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวได้สูงที่สุด โดยมูลค่าเงินจะเพิ่มขึ้นเป็น 163,190 ดอลลาร์ หรือ 16.31 เท่าจากมูลค่าเดิมเมื่อ 30 ปีก่อน แต่ระหว่างทาง ก็จะเจอความผันผวนของผลตอบแทนค่อนข้างสูง
ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ มูลค่าจะเพิ่มเป็น 37,564 ดอลลาร์ หรือ 3.75 เท่า อย่างไรก็ตาม หากจัดพอร์ตลงทุน ผสมหุ้นเข้าไป 60% และตราสารหนี้ 40% มูลค่าเงินจะเพิ่มเป็น 98,542 ดอลลาร์ หรือ 9.85 เท่า แต่ถ้าลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน หรือถือเงินสดไว้ มูลค่าเงินจะอยู่ที่ 19,859 ดอลลาร์ หรือ 1.98 เท่า เท่านั้น
เรียกง่าย ๆ ก็คือ ถึงแม้ในช่วงนี้ การถือเงินสด หรือกองทุนรวมตลาดเงินจะให้ผลตอบแทนที่ดูน่าสนใจดี โดยที่นักลงทุนไม่ต้องเสี่ยงอะไรมาก แต่ถ้าวางเงินไว้ในกองทุนรวมตลาดเงินหรือถือเงินสดนาน ๆ ไม่เอาไปลงทุน ในระยะยาวเงินก็เติบโตไปได้น้อยมาก ยิ่งถ้าเราเอาปัจจัยเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทุกปี ข้าวของที่แพงขึ้นทุกปี มาคิดด้วยแล้ว เผลอๆ จำนวนเงินลงทุนในกองทุนรวมตลาดเงิน หรือเงินสดที่เราเก็บเอาไว้ อาจจะตามไม่ทันเงินเฟ้อด้วยซ้ำ
ขณะที่ Franklin Templeton Institute ก็ให้คำแนะนำไว้ ณ วันที่ 10 ส.ค. 2023 ว่า แม้เวลานี้การถือเงินสดจะได้รับอัตราดอกเบี้ยสูง แต่การไปลงทุนในตราสารหนี้จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนรวมที่สูงกว่าในอนาคตถ้าอัตราดอกเบี้ยลดลง จึงมองว่า นี่คือจังหวะที่ดีสำหรับการโยกเงินสดไปลงทุนในตราสารหนี้เพื่อล็อคอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันเอาไว้
สอดคล้องกับ กลุ่มงานธนาคารส่วนบุคคลของ Citibank ที่ให้มุมมองผ่านรายงานครึ่งปี 2023 ว่า ช่วงครึ่งแรกของปี มีเงินไหลเข้ากองทุนรวมตลาดเงิน และพันธบัตรรัฐบาลสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่วนสำคัญก็มาจากอัตราผลตอบแทนระยะสั้น สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007 ทำให้นักลงทุนต่างก็พักเงินไว้เพื่อรอตลาดหุ้นปรับตัวลดลง แล้วกลับเข้าไปลงทุน
แต่ Citibank ให้ความเห็นว่า แทนที่จะรอเวลา ซึ่งอาจจะทำให้พลาดโอกาสที่ดีไปได้ ก็ควรจะลงทุนอย่าง เพียงแต่ในการลงทุนให้พิจารณารอบคอบมากขึ้นว่าจะลงทุนในสินทรัพย์อะไร และเมื่อไหร่ นอกจากนี้ยังแนะนำว่า ควรลดการถือเงินสด เพราะการลงทุนจะทำให้มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่าการถือเงินสดในระยะยาว โดยเฉพาะเมื่ออัตราดอกเบี้ยปรับลดลง
มาถึงตรงนี้ พี่ทุย อยากจะบอกทุกคนว่า ถ้าต้องการลงทุนเพื่อผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ก็ไม่ควรจะวางเงินไว้ในกองทุนรวมตลาดเงิน หรือไว้ในบัญชีเงินฝาก รอรับดอกเบี้ยเฉย ๆ ในสัดส่วนที่มากเกินไป แต่ก็ไม่ควรเทเงินไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงหมดเลย โดยไม่ถือเงินสดไว้เช่นกัน
ควรถือเงินสดไว้ในพอร์ตเท่าไหร่
ตามหลักการแล้ว เราควรจะมีเงินสด ที่สำรองเอาไว้เผื่อฉุกเฉินอย่างน้อย 3-6 เท่า ของค่าใช้จ่ายรายเดือน เผื่อเวลาเราเจอสถานการณ์คับขัน จะได้นำเงินส่วนนี้ออกมาใช้ได้ เช่น กรณีตกงานกะทันหัน ก็ยังมีเงินที่ทำให้มีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ระหว่างรองานใหม่ ในช่วง 3-6 เดือน
ถ้าเรามีส่วนนี้เพียงพอแล้ว เราควรจะนำเงินที่เราเก็บได้ ไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และเป้าหมายการลงทุนของเรา โดยควรกระจายเงินลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท แทนที่จะทุ่มเงินไปลงทุนกับสินทรัพย์ประเภทใดประเภทหนึ่งเท่านั้น
ทั้งนี้ พี่ทุยไปเจอตัวอย่าง สัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ที่ Goldman Sachs แนะนำไว้ ซึ่งเป็นคำแนะนำสำหรับการบริหารทรัพย์สินของสำนักงานครอบครัว (เรียกง่ายๆ คือ เงินกงสีของครอบครัวที่มีความมั่งคั่งสูง) ดังนี้
- 28% หุ้นของบริษัทจดทะเบียน
- 26% หุ้นของบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์
- 12% เงินสด หรือสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด (ไม่รวมพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ)
- 10% ตราสารหนี้
- 9% อสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์
- 6% กองทุนบริหารความเสี่ยง (เฮดจ์ ฟันด์)
- 3% การให้กู้ยืม หรือเครดิตกับบริษัทเอกชน
- 1% สินค้าโภคภัณฑ์
* สัดส่วนรวมกันได้ถึง 100% เนื่องจากการปัดเศษ
ที่มา : Goldman Sachs
ที่พี่ทุยหยิบตัวอย่างการจัดพอร์ตนี้มาให้ดู ก็เพียงแค่อยากบอกว่า เราควรจะมีเงินสดอยู่ในพอร์ตประมาณเท่าไหร่ ถ้าจะลงทุน ส่วนการกระจายเงินไปลงทุนในหุ้น ตราสารหนี้ และสินทรัพย์ทางเลือกนั้น ถ้าเราเป็นกลุ่มคนที่มีเงินลงทุนสูงมาก เราอาจจะพิจารณาแนวทางนี้ ในการจัดพอร์ตลงทุนของตัวเองได้
แต่ถ้าเราเป็นนักลงทุนทั่วไป ที่ไม่ได้มีเงินถุงเงินถัง เราอาจจะไม่ได้จัดพอร์ตตามคำแนะนำนี้ เพราะสินทรัพย์บางประเภทก็อาจจะไม่เหมาะกับนักลงทุนทั่วไป เช่น หุ้นบริษัทนอกตลาดหลักทรัพย์ การให้กู้ยืมกับบริษัทเอกชน เป็นต้น
สุดท้ายนี้ มีเงินสดก็เป็นเรื่องที่ดี แต่มีไว้มากเกินไป ก็อาจจะไม่ดีเท่าไหร่ในแง่ของการสร้างผลตอบแทนในอนาคต ฉะนั้น มีให้พอเหมาะ ดีที่สุดแล้ว ซึ่งระดับที่พอเหมาะของแต่ละคน ไม่เท่ากัน เรื่องนี้ คงต้องไปพิจารณากันเองว่า แค่ไหนคือระดับที่เหมาะสมกับเรา
สรุปข้อดี-ข้อเสียของการถือเงินสดหรือสินทรัพย์เทียบเท่าเงินสด
ข้อดี
- มีความปลอดภัยสูง มีความเสี่ยงต่ำมาก
- ให้ผลตอบแทนที่ดีได้ในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสูง
- มีสภาพคล่องสูง นำออกมาใช้จ่ายได้ง่าย (กรณีอยู่ในบัญชีเงินฝากถอนออกได้ทันที กรณีอยู่ในกองทุนรวมตลาดเงิน บางกองอาจต้องรอเวลารับเงินหลังขายคืน 3-5 วันทำการ)
ข้อเสีย
- มูลค่าที่แท้จริงของเงินจะลดลง จากความเสี่ยงเงินเฟ้อ
- ในระยะยาวให้ผลตอบแทนต่ำที่สุดเมื่อเทียบสินทรัพย์ประเภทอื่น
- หากไม่มีวินัยในการออม อาจนำเงินมาใช้จ่ายมากเกินไป จนเหลือเงินไม่พอใช้สำหรับอนาคต
อ่านเพิ่ม