หุ้น VS คริปโต

“หุ้น VS คริปโต” เลือกลงทุนอะไรดีที่เหมาะสมกับเรา ?

4 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • หุ้นเป็นการลงทุนที่อยู่คู่กับโลกการลงทุนมาช้านาน จึงมีความมั่นคงและให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างคงที่
  • คริปโตเป็นการลงทุนที่ใหม่มาก จึงมีความผันผวนสูงแต่ก็มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงจากหลายช่องทางกว่าการลงทุนในหุ้น  
  • การจัดระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้เป็นสิ่งสำคัญในการเลือกลงทุนที่เหมาะกับตัวเอง

 


รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

หุ้น VS คริปโต เลือกอะไรดี วันนี้มาหาคำตอบกับพี่ทุยกัน

คริปโตกลายมาเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ร้อนแรงในหมู่นักลงทุน หนึ่งคำถามโลกแตกสำหรับนักลงทุน (โดยเฉพาะหน้าใหม่) ว่าจะเลือกลงทุนในหุ้นและคริปโตดี การลงทุนแบบไหนที่เหมาะสมกับเรา พี่ทุยมีคำตอบ  

สกุลเงินดิจิทัลกลายเป็นการลงทุนที่ถูกพูดถึงและได้รับความสนใจในวงกว้าง ไม่ใช่เฉพาะนักลงทุนรายย่อย (Retail Investors) เท่านั้น แต่รวมถึงผู้ลงทุนสถาบัน (Institutional investors) อีกด้วย การเพิ่มมูลค่าขึ้นอย่างก้าวกระโดดของ Bitcoin ทำให้นักลงทุนต่างมองว่าเป็นโอกาสในการเข้าเก็งกำไรอีกช่องทางหนึ่งนอกจากหุ้นหรือทรัพย์สินเสี่ยงอื่นๆ 

สำหรับผู้ที่กำลังมองหาการลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง พี่ทุยจะมาอธิบายว่าระหว่างหุ้นกับคริปโต ควรเลือกลงทุนในอะไรและการลงทุนทั้งสองชนิดนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร ในแบบฉบับอัพเดททันเหตุการณ์

หุ้น

หุ้น มีความหมายว่าส่วนที่ลงทุนเท่ากันในการค้าขาย หมายความว่าผู้ที่ลงทุนในหุ้นจะเป็นเจ้าของธุรกิจที่เปิดขายตราสารหุ้นดังกล่าว มีสิทธิ์เป็นเจ้าของและมีส่วนได้ส่วนเสียกับกิจการด้วย ซึ่งส่วนมากจะได้รับเป็นเงินปันผล (Dividend) ตามข้อกำหนดของธุรกิจ

หุ้นสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทด้วยกันก็คือหุ้นสามัญ (Common stock) ออกโดยบริษัทมหาชนจำกัด (บมจ.) ที่ต้องการหาเงินทุนมาเพื่อดำเนินธุรกิจ ผู้ที่ถือหุ้นประเภทนี้จะได้รับสิทธิ์ในการลงมติในที่ประชุมตามสัดส่วนของหุ้นที่ถืออยู่ 

ส่วนอีกแบบหนึ่งก็คือหุ้นบุริมสิทธิ (Preferred Stock) ก็จะคล้ายกับหุ้นสามัญแต่ต่างกันที่ผู้ถือไม่มีสิทธิ์ลงมติใดๆ เพื่อปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานของบริษัท แต่ก็จะได้รับเงินปันผลตามเงื่อนไข ไม่ต่างกับผู้ถือหุ้นสามัญและหากธุรกิจต้องปิดตัวลง ผู้ที่ถือหุ้นแบบบุริมสิทธิจะได้รับชดเชยจากสินทรัพย์ของบริษัทที่ขายทอดตลาดหลังจากปิดกิจการก่อนผู้ถือหุ้นแบบหุ้นสามัญ

ดังนั้น การสร้างรายได้จากหุ้นจะมีอยู่ 2 แบบด้วยกัน ก็คือทำกำไรส่วนต่างของราคา (Capital Gain) และเงินปันผล (Dividend)

สกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโต 

สกุลเงินดิจิทัลแรกของโลกอย่าง Bitcoin ถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์แบบสินทรัพย์ที่เก็บรักษามูลค่าได้ (Store of value) เหมือนกับทองคำ แม้ว่าตัวผู้สร้างจะต้องการสร้างมันขึ้นมาเพื่อช่วยในเรื่องการโอนถ่ายทรัพย์สินแบบไร้ตัวกลาง (P2P) และไร้พรมแดนก็ตาม แต่ด้วยความที่สกุลเงินดิจิทัลสกุลแรกของโลกอย่าง Bitcoin มีอยู่จำกัด จึงทำให้เกิดราคาที่สัมพันธ์กับอุปสงค์และอุปทาน 

อธิบายอีกอย่างก็คือเมื่อมีอุปสงค์มากกว่าอุปทาน ก็จะดันให้ราคาของสินทรัพย์นั้นพุ่งขึ้นไป จึงมีหลายคนที่มองว่า Bitcoin เป็นทรัพย์สินเสี่ยงหนึ่งชนิดเช่นเดียวกัน

จริงๆ สกุลเงินที่เราใช้งานในทุกวันนี้ก็มีอุปสงค์และอุปทานของมันอยู่ แต่เนื่องด้วยมีการควบคุมจากทางรัฐบาลและธนาคารกลางของแต่ละประเทศ ราคาของสกุลเงินจึงไม่เหวี่ยงอย่างรุนแรงเหมือนสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งไม่มีมนุษย์ควบคุมอย่างชัดเจน

สกุลเงินดิจิทัลไม่ได้มีเพียงแค่ Bitcoin เท่านั้น แต่ยังมีสกุลเงินอื่นๆ ที่สามารถใช้งานได้มากกว่าการโอนถ่ายทรัพย์สินอย่างเช่น Ethereum ซึ่งเป็น Smart Contract สามารถทำงานได้ตามคำสั่งที่วางไว้โดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุมทุกขั้นตอน

การหารายได้จากคริปโตก็มีทั้งการทำกำไรส่วนต่างของราคา (Capital Gain) การกินดอกเบี้ยจากการ Stake เหรียญและการนำคู่เหรียญไปใส่ไว้ใน Pool เพื่อสร้างสภาพคล่องให้กับแพลตฟอร์ม DeFi และกินส่วนแบ่งค่าธรรมเนียม

หุ้น VS คริปโต ปัจจัยการขึ้นลงของราคา

การขึ้นลงของราคาคริปโตและหุ้นมีพื้นฐานเดียวกันก็คืออุปสงค์และอุปทาน สิ่งที่แตกต่างกันก็คือเหตุผลที่ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทานดังกล่าว ผู้ที่ลงทุนในหุ้นจะมองว่าบริษัทที่ออกหุ้นออกมามีความมั่นคงและมีแนวโน้มจะสร้างรายได้มากกว่าได้มากเพียงใด แต่สำหรับสกุลเงินดิจิทัล นักลงทุนจะพิจารณาถึงการนำมาใช้งานจริงในชีวิตประจำวันมากกว่า

พี่ทุยมองว่าคริปโตจะคล้ายกับสกุลเงิน + หุ้น เราอาจจะได้เห็นคำศัพท์หนึ่งในโลกของคริปโตบ่อยๆ นั้นก็คือ ‘ระบบนิเวศ (Ecosystem)’ คำๆ นี้ในโลกของคริปโตมีความหมายที่ลึกซึ้งเหมือนกับองค์กรที่มีหน่วยงานต่างๆ ประกอบกันและทำงานร่วมกัน 

การสร้างระบบนิเวศของคริปโตให้เข้มแข็งนั้นจะต้องเริ่มต้นจากการสร้างเครือข่าย Blockchain จากนั้นก็จะมีแอพพลิเคชั่นกระจายศูนย์ (Dapp) หรือแพลตฟอร์มการเงินกระจายศูนย์ (DeFi) หรือเกมส์กระจายศูนย์ (GameFi) และอื่นๆ เข้ามาทำงานบนเครือข่าย

ยิ่งระบบนิเวศใหญ่และเข็มแข็งเท่าไหร่ เหรียญหรือโทเค็นต่างๆ ที่อยู่บนระบบก็จะได้รับความนิยม ดันอุปสงค์ให้เหนือกว่าอุปทานและส่งผลให้ราคาเหรียญหรือโทเค็นเพิ่มขึ้น

ข้อดีและข้อเสียของหุ้นและคริปโต

ข้อดีของหุ้น

  1. มีประวัติยาวนานและผลตอบแทนชัดเจน
  2. มูลค่าของธุรกิจเข้าถึงนักลงทุนหมู่มากมากกว่าเพราะมีทั้งเทคโนโลยีและสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป
  3. มีกฎหมายควบคุมชัดเจน

ข้อเสียของหุ้น

  1. ส่วนใหญ่มีอัตราการโตที่น้อยเมื่อเทียบกับสกุลเงินดิจิทัล
  2. หากบริษัทล้มละลาย ผู้ถือหุ้นจะได้รับเงินคืนเป็นลำดับสุดท้าย 

ข้อดีของสกุลเงินดิจิทัล

  1. เข้าถึงได้ง่ายกว่าและมีขั้นต่ำการลงทุนที่น้อยมาก
  2. มีอัตราการเติบโตที่สูงอย่างก้าวกระโดด และยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีใหม่
  3. สามารถซื้อขายได้ตลอดเวลา จึงมีสภาพคล่องสูง

ข้อเสียของสกุลเงินดิจิทัล

  1. ความผันผวนสูงมากถึงมากที่สุด
  2. ยังไม่มีกฎหมายควบคุมชัดเจน จึงอาจจะถูกโกงได้ (Rug pull)
  3. เหรียญหรือโทเค็น (ส่วนใหญ่) ไม่มีคุณค่าที่จับต้องได้มากนัก เพราะมักจะเป็นด้านเทคโนโลยี (การเงิน เกมส์ แอพพลิเคชั่น) แต่ว่าไม่มีสินค้าอุปโภคบริโภคเลย
  4. อาจจะถูกแฮกเกอร์โจมตีและขโมยทรัพย์สินไปจนหมดหากเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลไว้บนกระเป๋าสตางค์ออนไลน์

 ควรเลือกลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล (คริปโต) หรือ หุ้น ดี ?

คำถามสำคัญเลยสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มลงทุน ดูเหมือนว่าคริปโตจะดูเย้ายวนใจกว่ามากด้วยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นสูงอย่างรุนแรง แต่ก็มีมุมที่น่ากลัวเช่นเดียวกันเนื่องจากมูลค่าผันผวนสูงรุนแรง 

ดังนั้นพี่ทุยแนะนำให้ลองศึกษาทั้งหุ้นและคริปโตให้ดีเสียก่อน และลองลงทุนในหุ้นหรือคริปโตที่ทำผลงานได้ดีที่สุด หากในกรณีของหุ้นก็จะเป็นตัวที่อยู่ใน SET50 และกรณีของคริปโตก็จะเป็น Bitcoin หรือ Ethereum และดูว่าแบบไหนที่ใช่สไตล์ของเรามากที่สุดและอย่าลืมกระจายความเสี่ยงการลงทุน

การลงทุนไม่มีสูตรจำกัดตายตัวว่าควรจะทำอย่างไร นักลงทุนควรจะเลือกลงทุนโดยใช้เงินเย็น (และเงินที่พร้อมจะเสียได้ด้วยในโลกของคริปโต) และยังจำเป็นต้องศึกษาสิ่งที่เรากำลังจะลงทุนให้ดีเสียก่อนและ

ที่สำคัญคืออย่าลืมประเมินความเสี่ยงที่ตัวเองรับไหว อย่างไรก็ตามการเลือกลงทุนทั้งหุ้นและคริปโตในผ่านการบริหารจัดการความเสี่ยงของตัวผู้ลงทุนเองก็เป็นไอเดียที่ดีเช่นเดียวกัน 

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile