เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2564 ตลาดหุ้นแห่งใหม่ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน Beijing Stock Exchange (BSE) หรือ “ตลาดหุ้นปักกิ่ง” ได้เปิดทำการซื้อขายอย่างเป็นทางการ นับเป็นตลาดหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ หรือ A-Share แห่งที่ 3 เพราะเดิมทีจีนมีตลาดหุ้นอยู่ 2 แห่ง คือ ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และตลาดหุ้นเซินเจิ้น
ตลาดหุ้น BSE แห่งนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร แล้วนักลงทุนอย่างเราควรให้ความสนใจเพราะอะไร วันนี้พี่ทุยจะมาเล่าให้ฟัง
พี่ทุยขอเล่าย้อนไปนิดหนึ่งว่า ไอเดียการเปิด “ตลาดหุ้นปักกิ่ง” นี้ ถูกเปิดเผยให้สาธารณชนรับทราบเมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2564 โดยในช่วงนั้น สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีน ออกมาประกาศว่าจีนจะปรับโฉมใหม่ National Equities Exchange and Quotations (NEEQ) ซึ่งเป็นตลาดสำหรับการซื้อขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ หรือที่เรียกว่า Over-The-Counter (OTC) ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 2013 ให้กลายร่างเป็น Beijing Stock Exchange นี่แหละ
เดิมที NEEQ ก็มีเป้าหมายไว้รองรับหุ้น SMEs อยู่แล้ว แต่พอถูกปรับโฉม เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น BSE ก็มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม คือ เป็นพื้นที่ให้ SMEs ที่มีนวัตกรรมระดมทุน จะได้สนับสนุนนวัตกรรมและการพัฒนา SMEs ซึ่งถือว่ามีความสำคัญต่อเศรษฐกิจจีนมาก เพราะ 99.8% ของธุรกิจในจีนเป็น SMEs แล้วกลุ่มนี้ก็เป็นกลุ่มผู้เสียภาษีรายสำคัญ รายได้ภาษีที่รัฐบาลจีนเก็บได้มาจากกลุ่มนี้ถึง 50%
หลังจากคำพูดของประธานาธิบดีจีนในวันที่ 3 ก.ย. 2564 ใช้เวลาแค่ 2 เดือนครึ่ง “ตลาดหุ้นปักกิ่ง” ก็เปิดการซื้อขายได้ในวันที่ 15 พ.ย. 2564 โดยในวันแรกของการซื้อขาย มีบริษัททั้งหมด 81 บริษัทที่ซื้อขายในกระดาน มีมูลค่าการซื้อขายรวมสูงถึง 9,580 ล้านหยวน หรือประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์
ส่วนที่มาของ 81 บริษัทที่ซื้อขายใน “ตลาดหุ้นปักกิ่ง” นั้น พี่ทุยต้องบอกก่อนว่า 71 บริษัทนี้ เป็นบริษัทเดิมที่เคยซื้อขายในตลาด NEEQ อยู่แล้วนั่นเอง ส่วนอีก 10 บริษัทเป็นหน้าใหม่ที่เพิ่มเข้ามา เช่น Henan Tongxin Transmission, Nantong Great Electric และ HeBei Raisesun Information Technology
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ หลังเทรดวันแรกในตลาดนี้ 10 บริษัทหน้าใหม่ ก็เจอปรากฏการณ์ต้องใช้มาตรการพักการซื้อขายกันตั้งแต่วันแรกที่เปิดตลาดเลย เนื่องจากตลาดนี้มีกฎว่า ถ้าราคาหุ้นเคลื่อนไหว ปรับขึ้นไปเกิน 30% หรือลดลงเกิน 60% จะพักการซื้อขาย 10 นาที ซึ่งหุ้นทั้ง 10 บริษัทนี้ ก็สร้างปรากฎการณ์จับมือกันทำราคาพุ่งขึ้นไปจนต้องหยุดพักการซื้อขายถ้วนหน้า ก่อนจะปิดตลาดวันแรกด้วยราคาที่เพิ่มขึ้นเฉลี่ยรวมกัน 198% ช่วงปิดตลาด
เป้าหมายของตลาดหุ้น BSE
Yi Huiman ประธาน คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์จีน หรือ CSRC ระบุว่า การเปิดตัวตลาดหุ้นปักกิ่งครั้งนี้ถือเป็นเครื่องบ่งชี้เกี่ยวกับการปฏิรูปตลาดทุน โดยหัวใจสำคัญก็คือจะช่วยยกระดับตลาดทุนจีนให้มีหลายชั้น ปรับปรุงระบบการเงินที่รองรับ SMEs และช่วยขับเคลื่อนนวัตกรรมและยกระดับเศรษฐกิจจีนได้
ทั้งนี้ พี่ทุยลองไปส่องลักษณะเด่นของตลาดหุ้นปักกิ่งแล้ว สิ่งที่น่าสนใจก็คือ มีกฎเกณฑ์ด้านมูลค่าตามราคาตลาด (Market Capitalization : Market Cap.) รวมถึงเรื่องการเงินที่น้อยกว่า ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น จึงเปิดทางให้ SMEs เข้ามาใช้เป็นช่องทางระดมทุนได้
โดยจะได้รับการอำนวยความสะดวกให้สามารถย้ายตัวเองไปอยู่ในกระดานซื้อขายหุ้นนวัตกรรมอย่าง ChiNext ในตลาดหุ้นเซินเจิ้น หรือกระดาน STAR Market สำหรับซื้อขายหุ้นเทคโนโลยีในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ได้ เมื่อผ่านเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว ถ้าให้เห็นภาพเข้าใจง่าย ๆ ก็คล้ายกับตลาดหลักทรัพย์ MAI ของบ้านเรานั่นแหละ ที่ทำให้บริษัทซึ่งมีขนาดไม่ใหญ่มากเข้ามาระดมทุนได้ แล้วพอบริษัทใหญ่ขึ้นก็ค่อยย้ายไปอยู่ใน SET นั่นเอง
เบื้องต้นตลาดหุ้นแห่งนี้ มีนักลงทุนรายย่อยมากกว่า 4 ล้านรายแล้ว โดยกลุ่มนี้เข้ามาเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นในตลาดหุ้นปักกิ่ง ผ่านการลงทะเบียนซื้อหุ้นที่เสนอขายให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) นอกจากนี้พบว่า มีกองทุนแล้วทั้งหมด 8 แห่ง ที่วางแผนลงทะเบียนเข้ามาซื้อขายหุ้นในตลาดนี้
ขณะที่สื่อจีนอย่าง Global Times ระบุว่า ภายในสิ้นปี 2564 คาดการณ์ว่าจะมีหุ้นรวม 100 บริษัทที่ซื้อขายผ่าน “ตลาดหุ้นปักกิ่ง” ส่วนนักลงทุนที่เข้ามาซื้อขายในตลาดนี้น่าจะแตะ 10 ล้านคน เพิ่มขึ้น 2.5 เท่าตัวจากปัจจุบัน และมีความเป็นไปได้ที่ตลาดหุ้นแห่งใหม่นี้จะกลายเป็นบ้านสำหรับบริษัทจีนที่ไปจดทะเบียนในต่างประเทศจะกลับเข้ามาใช้เป็นช่องทางระดมทุนเช่นเดียวกับบริษัทต่างชาติที่อยู่ในจีนที่อาจจะวางแผนมาระดมทุนผ่านตลาดนี้
เห็นแบบนี้แล้ว พี่ทุยก็คิดว่า นักลงทุนควรจับตาตลาดหุ้นแห่งที่ 3 ในจีนแผ่นดินใหญ่อย่างจริงจัง เพราะตลาดนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญของการลงทุนที่กำลังมองหาการลงทุนในจีน
ความแตกต่างระหว่าง 3 ตลาดหุ้นจีน
พี่ทุยหยิบยกข้อมูลความแตกต่างของ 3 ตลาด A-Share นี้มาให้ดู รวมทั้งหยิบข้อมูลความสำคัญของตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นมาให้ดู ก็เพื่อให้นักลงทุนเห็นว่า ในเวลานี้ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น ก็ถือว่ามีขนาดใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลกแล้ว ทั้งในเชิง Market Cap. ของตลาด มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยรายวัน และมูลค่าการระดมทุน ขณะที่จำนวนบริษัทจดทะเบียนทั้งในตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้นก็มีมาก โดยในจำนวนนี้ก็มีบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่จีนหลายแห่งที่จดทะเบียนอยู่ เป็นที่รู้กันอยู่แล้วเรื่องความน่าสนใจลงทุน
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ทางการจีนมีความเข้มข้นในการจัดระเบียบธุรกิจต่างๆ มากขึ้น ดังนั้นบริษัทใหญ่ ๆ ที่น่าสนใจในตลาดหลัก ๆ อย่างเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น ก็มีโอกาสรับผลกระทบของมาตรการไปเต็ม ๆ และปฏิเสธไม่ได้ว่า เวลาบริษัทยักษ์ใหญ่ในตลาดได้รับผลกระทบ ก็จะทำให้ตลาดรวมผันผวนไปด้วย ดังนั้นตลาดหุ้นปักกิ่งน้องใหม่ จึงมีความน่าสนใจในเวลาแบบนี้
จุดเด่นของตลาดหุ้นปักกิ่ง คือ บริษัทที่จดทะเบียนเป็น SMEs ที่มีนวัตกรรม ซึ่งทางการจีนมีความชัดเจนมากว่า จะปั้นบริษัท SMEs ให้เติบโต สนับสนุนเรื่องการพัฒนานวัตกรรม เพื่อเป็นตัวนำเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ ซึ่งการปั้น SMEs นี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายประธานาธิบดีสี เรื่อง Common Prosperity หรือการมีความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ดังนั้น SMEs จีนในตลาดหุ้นปักกิ่ง จึงเป็นดาวเด่นที่น่าจับตามอง
เพราะปกติแล้วนโยบายหรือมาตรการของทางการจีนมีอิทธิพลมากต่อตลาดการลงทุน หากเราต้องการลงทุนในจีนและมีโอกาสเติบโต ก็ควรจะเลือกลงทุนในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับนโยบายของทางการจีน
สำหรับใครที่อยากไปลงทุนในตลาดหุ้นปักกิ่งนั้น พี่ทุยคิดว่า การไปลงทุนหุ้นจีนโดยตรงเองก็เป็นทางเลือกหนึ่ง แต่อาจจะยุ่งยากสักหน่อยสำหรับนักลงทุนทั่วไป แต่พี่ทุยคิดว่าหลังจากนี้ก็คงจะมีกองทุนหุ้นจีนในไทย ที่เข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นปักกิ่ง ซึ่งนักลงทุนก็สามารถไปติดตามดูข้อมูลอัปเดตการลงทุนของกองทุนหุ้นจีนต่าง ๆ เพื่อดูรายละเอียดได้ หากกองทุนไหนมีการไปลงทุนในตลาดหุ้นปักกิ่ง นักลงทุนก็สามารถใช้วิธีไปลงทุนผ่านกองทุนนั้นได้นั่นเอง