หากกล่าวถึงหุ้นเด้งในตำนาน หลาย ๆ คนคงนึกถึง “หุ้น HMPRO” หรือ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) โดยได้เข้าตลาด IPO ในปี 2544 ด้วยมูลค่า 3.6 บาท มีจำนวนหุ้น 987.5 ล้านหุ้น หรือมีมูลค่าตลาดประมาณ 3,500 ล้านบาท มาในวันนี้ HMPRO มีมูลค่าตลาดกว่า 185,431 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตนี้เป็นการเติบโตกว่า 50 เท่า ภายในเวลา 20 ปี และในปัจจุบัน HMPRO จะมีความน่าสนใจในการลงทุนมากน้อยแค่ไหน วันนี้พี่ทุยได้สรุปพร้อมกับวิเคราะห์ มาให้เพื่อนนักลงทุนได้อ่านอย่างเข้าใจง่าย ๆ กัน
“หุ้น HMPRO” ทำอะไร ?
HMPRO หรือ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจค้าปลีก โดยจำหน่ายสินค้าและให้บริการที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง ต่อเติม ตกแต่ง ซ่อมแซม ปรับปรุง อาคาร บ้าน และที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร (One Stop Shopping Home Center) โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า “โฮมโปร” (HomePro) ซึ่งเป็นเครื่องหมายการค้าของบริษัทฯ
โดยธุรกิจของ HMPRO สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่มคือ
1. กลุ่ม Home Improvement ซึ่งเป็นธุรกิจค้าปลีกสินค้าสำหรับก่อสร้าง ตกแต่ง และซ่อมแซมที่อยู่อาศัย โดยในไทยจะมีทั้งหมด 95 สาขา และต่างประเทศที่มาเลเซีย 6 สาขา
2. กลุ่ม Home Center ในชื่อเมกาโฮม จำนวน 14 สาขา โดยเป็นธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งวัสดุก่อสร้าง สินค้าเกี่ยวกับบ้าน และของใช้ในครัวเรือน โดยคู่แข่งในกลุ่มนี้ เช่น ไทวัสดุ โกลบอลเฮ้าส์ โฮมเวิร์ค ดูโฮม
3. ธุรกิจอื่น ๆ เช่น การบริหารพื้นที่ให้เช่า การบริหารจัดการคลังสินค้าและให้บริการขนส่งสินค้า
โครงสร้างรายได้ ปี 2563
โครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่มบริษัท
ลักษณะการประกอบธุรกิจของบริษัทย่อย
1. บริษัท มาร์เก็ต วิลเลจ จำกัด ดำเนินธุรกิจบริหารพื้นที่ให้เช่า พร้อมกับให้บริการทางด้านสาธารณูปโภคแก่ผู้เช่า เริ่มต้นดำเนินการที่โครงการ “หัวหิน มาร์เก็ต วิลเลจ” (Hua-Hin Market Village)
2. Home Product Center (Malaysia) SDN. BHD. ดำเนินธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้านที่มาเลเซีย
3. บริษัท เมกา โฮม เซ็นเตอร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจค้าปลีกและค้าส่งวัสดุก่อสร้าง สินค้า เกี่ยวกับบ้าน และของใช้ในครัวเรือน
4. บริษัท ดีซี เซอร์วิส เซ็นเตอร์ จำกัด ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการคลังสินค้าและให้บริการขนส่งสินค้า
ผลการดำเนินงานปี 2561 – 2563
หากพิจารณาในงบปี 2563 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวม 61,748 ล้านบาทและเมื่อเทียบกับปี 2562 ปรับลดลง 8.35%
ส่วนของกำไรสุทธิปี 2563 เท่ากับ 5,154 ล้านบาท ซึ่งเทียบกับปี 2562 ลดลง 16.54% และมีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 8.35%
ซึ่งผลการดำเนินงานที่ลดลงของธุรกิจโฮมโปร เมกา โฮม และโฮมโปรที่มาเลเซียเมื่อเทียบกับปี 2562 มีปัจจัยหลักมาจากการปิดสาขาในช่วงไตรมาสที่ 2 และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง แม้ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยังไม่สามารถชดเชยผลกระทบด้านผลประกอบการของสาขาที่ปิดไปได้
อย่างไรก็ตาม HMPRO สามารถปรับตัวตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และรับมือกับสถานการณ์โรคโควิด-19 ได้อย่างทันท่วงทีผ่านช่องทางออนไลน์ รวมถึงมีกลยุทธ์เพื่อมุ่งเน้นพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงานควบคู่กับการควบคุมค่าใช้จ่ายให้อย่างมีประสิทธิภาพ
จุดแข็งของ HMPRO
1. HMPRO ได้รับการคัดเลือกให้อยู่ในดัชนีความยั่งยืนของดาวโจนส์ ประเภทธุรกิจ Retailing กลุ่ม Emerging Market ประจำ ปี 2563
ซึ่งเป็นดัชนีที่ใช้ประเมินประสิทธิผลการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทชั้นนำระดับโลกจัดทำโดย S&P Global
2. สินค้าและบริการที่มีคุณภาพ
คุณภาพสินค้าและบริการที่ผ่านมาบริษัทได้เข้าร่วมโครงการร้าน มอก. เพื่อสนับสนุนการขายสินค้าที่มีมาตรฐานและความปลอดภัยให้กับลูกค้า สร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการเลือกซื้อสินค้าของบริษัทฯ รวมถึงมอบบริการที่สะดวกสบาย ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าผ่านช่องทางผสมผสานระหว่างออนไลน์และออฟไลน์แบบไร้รอยต่อ
3. เป็นผู้นำในธุรกิจค้าปลีกสินค้าเกี่ยวกับบ้าน และที่อยู่อาศัยแบบครบวงจร
มีความพร้อมที่จะให้บริการต่าง ๆ เช่น ตกแต่ง ต่อเติม ซ่อมแซม ปรับปรุง อาคาร บ้าน และที่อยู่อาศัยด้วยบริการ Home Service และสามารถนำเสนอสินค้าที่ตรงกับความต้องการผู้บริโภค และพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงจากการเกิด ชีวิตวิถีใหม่ (New Normal)
4. มีสินค้าที่หลากหลายตอบโจทย์ที่ไลฟ์สไตล์
สินค้าของ HMPRO ตอบโจทย์ทุกความต้องการใช้ชีวิตประจำวันเมื่ออยู่ภายในบ้าน เพื่อรองรับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไปอยู่ที่บ้านมากขึ้น อาทิ ความต้องการสำหรับการทำงานที่บ้าน (Work at Home) ความบันเทิงภายในบ้าน (Entertainment at Home) การเรียนผ่านระบบออนไลน์ (Learning at Home) การทำอาหารรับประทาน (Cooking at Home) และสินค้าสุขอนามัย (Hygienic)
5. มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ
HMPRO ได้มีการลงทุนขยายสาขาครอบคลุมพื้นที่ในเขตหัวเมืองหลักเกือบทุกจังหวัดแล้ว ซึ่งจะเป็นการจำกัดการขยายธุรกิจของคู่แข่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์แก่บริษัทฯ โดยในไทยจะมีทั้งหมด 95 สาขา
อัตราส่วนทางการเงินของ“หุ้น HMPRO”
หากพิจารณางบปี 2563
ราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ มาอยู่ที่ 13.70 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 ที่ราคาหุ้น ณ สิ้นปี 2562 อยู่ที่ 16.00 บาท จากการที่ HMPRO ได้ปิดสาขาส่วนใหญ่ของโฮมโปรและเมกาโฮม เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 นั่นเอง
P/BV Ratio มีค่าที่สูงกว่า 1 บ่งบอกถึงนักลงทุนมองเห็นแนวโน้มในอนาคตว่าบริษัทฯ จะเติบโตจนมีกำไรสะสมกลับมาช่วยทำให้ส่วนของผู้ถือหุ้นเพิ่มขึ้นได้ในอนาคต เนื่องจากในระยะยาวนักลงทุนยังคงเชื่อมั่นในฐานการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ และพลิกฟื้นผลประกอบการกลับไปสู่ระดับก่อนการระบาดของโรคโควิด-19 ได้
“กำไรต่อหุ้น (EPS)” ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ บ่งบอกถึงบริษัทมีความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับงบปี 2562 โดยกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 0.39 บาท/หุ้น จากงบปี 2562 อยู่ที่ 0.47 บาท/หุ้น
P/E Ratio เท่ากับ 33.63 เท่า หากเอามาเปรียบเทียบกับหุ้นที่ทำธุรกิจในอุตสาหกรรมเดียวกัน ได้แก่ DOHOME และ GLOBAL มองได้ว่า HMPRO ราคาถูกกว่ากลุ่มเล็กน้อยนั่นเอง
D/E Ratio อยู่ที่ระดับ 1.60 เท่า เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญจากการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินในต่างประเทศ และมีหุ้นกู้คงค้าง เพื่อจัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
ในส่วนของ ROA และ ROE ตามหลักการแล้วยิ่งสูงยิ่งถือว่าบริษัทนั้นสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากดูในงบปี 2563 แล้วพบว่า ทั้งสองอัตราส่วนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ จากกำไรสุทธิที่ลดลงนั่นเอง
DIVIDEND YIELD อยู่ที่ 2.77% โดยสังเกตได้ว่า HMPRO มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอทุกปี บริษัทมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 40 % ของกำไรสุทธิของแต่ละปี โดยคำนึงถึงผลประกอบการโครงสร้างและภาระผูกพันทางการเงินการลงทุนตลอดจนความสม่ำเสมอในการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น
เป้าหมายการดำเนินธุรกิจของ HMPRO
1. เป็นผู้นำในธุรกิจ Home Solution and Living Experience ในไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
2. มีแผนที่จะขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่มีศักยภาพ
3. พัฒนาการให้บริการที่ครอบคลุมความต้องการของลูกค้ามากขึ้น และการพิจารณาสินค้าโดยคัดเลือกสินค้าใหม่ ๆ เพิ่มความหลากหลายในแต่ละกลุ่มสินค้า
4. การให้ความสำคัญกับการนำเสนอสินค้าและบริการผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น
5. ขยายธุรกิจ “เมกา โฮม” เพื่อรองรับตลาดสินค้าวัสดุก่อสร้าง โดยเปิดศูนย์รวมสินค้าเกี่ยวกับบ้านและวัสดุก่อสร้างครบวงจร
อนาคตของ “หุ้น HMPRO” จะเป็นอย่างไร มีประเด็นอะไรที่ต้องติดตาม ?
1. ธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและสินค้าเกี่ยวกับบ้านยังคง มีศักยภาพเติบโตสูงในอนาคต
จากโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ของรัฐบาล อาทิ โครงการปรับปรุงและขยายเส้นทางรถไฟในพื้นที่ต่าง ๆ โครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองซึ่งส่งผลให้เกิดการขยายตัวของเมือง รวมถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่มีการพัฒนาและขยายตัวแบบชุมชนเมือง (Urbanization) อย่างต่อเนื่อง
2. การสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์
ในระยะยาวการสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ มีแนวโน้มที่จะได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบายโดยเห็นได้ชัดจากช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งอาจส่งผลกระทบกับจำนวนลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าที่สาขาด้วยตัวเอง
3. ความสามารถในการแข่งขัน
HMPRO ได้มีการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยการบริหารความเสี่ยงโดยการสร้างความแตกต่างมุ่งเน้นในเรื่องความหลากหลายของสินค้าและการให้บริการที่ครบวงจร อาทิ “โฮม เซอร์วิส (Home Service)” ซึ่งครอบคลุมบริการตรวจเช็คทำความสะอาด เปลี่ยนสุขภัณฑ์ ไปจนถึงทาสี ปรับปรุงบ้าน (Home Makeover) อีกทั้งยังได้พัฒนาระบบสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ให้มีความทันสมัย ใช้งานง่าย และเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น รวมถึงมีมาตรการติดตามการดำเนินงาน อย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าลูกค้ามีความพึงพอใจในการซื้อสินค้าและบริการ
4. ความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจ
ความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจ HMPRO จึงได้กำหนดนโยบายการลงทุนขยายสาขาอย่างระมัดระวัง เพื่อลดความเสี่ยงที่ผลการดำเนินงานจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายพร้อมกับเร่งจัดการกระบวนการทำงานภายใน และกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อลดการสูญเสีย (Lean Management) ที่จะทำให้ค่าใช้จ่ายโดยรวมลดลง
5. การลงทุนในประเทศและต่างประเทศ
บริษัทฯ ยังคงมีแผนการลงทุนในต่างประเทศอย่างต่อเนื่องเพื่อต่อยอดธุรกิจปัจจุบัน และเพิ่มโอกาสในการเติบโตในระยะยาว โดยได้มีการศึกษาและวิเคราะห์รายละเอียดด้านการตลาด กฎหมาย ภาษี กฎเกณฑ์ ส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ ปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมือง นโยบายของรัฐ และปัจจัยอื่น ๆ เพื่อประเมินผลกระทบ รวมถึงโอกาสที่อาจเกิดขึ้นมาประกอบการพิจารณากำ หนดแผนการลงทุนดังกล่าว