สังคมมนุษย์กำหนดให้ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีค่า มนุษย์เรารู้จักทองคำกันตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วทำไม ทองคำถึงได้สำคัญกับมนุษย์มากขนาดนี้ พี่ทุยจะมาเล่า ประวัติศาสตร์ทองคำ และความมั่งคั่งของโลก ให้ฟังกัน
ประวัติศาสตร์ทองคำ เริ่มต้นเมื่อ 4 หมื่นปีที่แล้ว
ทองคำเป็นแร่ธรรมชาติที่สันนิษฐานว่าเกิดจากการระเบิดของดวงดาวแล้วทำให้เกิดสายแร่ทองคำขึ้นบนโลกและเป็นเกล็ดทองคำที่ปะปนอยู่ใต้พื้นดินหรือรวมอยู่กับแร่ชนิดอื่น
ซึ่งอาจเพราะคุณสมบัติที่เงางามทำให้เกล็ดทองคำที่โดนแสงนั้นส่องประกายแวววับออกมา จนมนุษย์โบราณสังเกตและก็ได้รู้จักกับวัตถุแวววับนี้ โดยคาดว่ามนุษย์เริ่มรู้จักทองคำเมื่อประมาณ 40,000 ปีก่อนคริสต์กาลมาแล้ว โดยพบร่องรอยของเกล็ดทองคำในถ้ำของมนุษย์โบราณที่บัลแกรเลีย
และชาวเผ่าอิคาก็เรียกทองคำว่า “น้ำตาแห่งดวงอาทิตย์” ซึ่งคาดว่าเรียกชื่อตามแสงสีทองที่แวววับเปรียบกับน้ำตาของดวงอาทิตย์นั่นเอง
ทองคำเป็นสิ่งที่มีอำนาจมาอย่างยาวนานและประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ที่สุดระหว่างมนุษย์กับทองคำนั้นมีมาตั้งแต่ยุคโบราณ มนุษย์ได้นำทองคำมาเชื่อมโยงเข้ากับเรื่องเทพเจ้า และความเป็นอมตะ รวมถึง ความมั่งคั่งร่ำรวย การเชื่อมโยงทองคำกับสิ่งเหล่านี้ นั้นเป็นเรื่องปกติ ในหลาย ๆ วัฒนธรรมทั่วโลก
คุณค่าของทองคำในยุคโบราณ
ทองคำถูกสร้างขึ้นเป็นเครื่องประดับอย่างง่ายและใช้ครั้งเป็นแรก ๆ ของโลกเมื่อ 4,000 ปีก่อนคริสตกาล ในช่วงของอารยธรรมแมโสโปเตเมีย อันเก่าแก่ ในยุคโบราณทองคำเป็นแร่หาได้ง่ายตามธรรมชาติ ด้วยคุณสมบัติที่เงางามและยังมีแสงแวววับสีทองที่ดึงดูดความสนใจ
ช่วง 2,600 ปีก่อนคริสตกาล ในอียิปต์โบราณทองคำนั้นมีมากมาย และอุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่าดินอีกโดยเฉพาะในภูมิภาคนูเบียของอียิปต์ แร่ทองคำมีเพียงพอที่จะทำให้พวกชาวอียิปต์โบราณผลิตทองคำได้ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ของพวกเขา
ในยุคอียิปต์โบราณทองคำและเงินเป็นโลหะที่นิยมใช้ทำเป็นเครื่องประดับ เนื่องจากมีความแวววาวและมีความคงทน นอกจากนี้ ชาวอียิปต์ โบราณ์ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับเทพเจ้าเร ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ และเป็นเทพเจ้าสูงสุดของชาวอียิปต์อีกด้วย
ความเชื่อนี้เชื่อมโยงถึงความเป็นอมตะของแสงแห่งดวงอาทิตย์ ที่ชาวอียิปต์จึงเชื่อกันว่า ทองคำคือเนื้อของเทพเจ้า จึงได้สร้างเทพเจ้าขึ้นจากทองคำ ในขณะที่แร่เงินนั้น มีความเกี่ยวข้อง กับดวงจันทร์และเชื่อว่า ถูกสร้างให้เป็นกระดูกของเทพเจ้า เช่นกัน
ในพิธีกรรมทางศาสนาทองคำถูกใช้เป็นเครื่องบูชาแก่เทพเจ้า และใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่งในวิหารหรือวัด ส่วนในหลุมศพ ของฟาโรห์หรือชนชั้นปกครองระดับสูงทองคำก็จะถูกฝังลงไปด้วย
มีการค้นพบหน้ากากทองคำอันโด่งดังที่ฝังอยู่ในหลุ่มศพของฟาโรห์ตุตันคามุน ทำให้รู้ว่าชาวอียิปต์ใช้ทองคำเพื่อปกป้องและติดตามผู้ตายในชีวิตโลกหลังความตาย ส่วนกษัตริย์และขุนนางที่ประดับประดา ตนเองด้วยเครื่องประดับทองคำนั้นก็เพื่อแสดงถึงความมั่งคั่งและสถานะทางสังคมของพวกเขา นั่นเอง
ประวัติศาสตร์ทองคำ เมื่อทองกลายเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน
จนกระทั่งประมาณ 1,500 ปีก่อนคริสตกาล อียิปต์โบราณเริ่มใช้ทองคำเป็นสื่อกลาง ในการแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการครั้งแรก สำหรับการค้าระหว่างประเทศ
ชาวอียิปต์สร้างเหรียญ “เชเกล” ซึ่งเป็นเหรียญที่มีน้ำหนัก 11.3 กรัม และกลายเป็นหน่วยวัดมาตรฐานในตะวันออกกลาง เหรียญถูกสร้างขึ้นจากโลหะอิเล็กตรัม ซึ่งมีแร่ทองคำประมาณสองในสามของแร่เงิน
ในช่วงเวลานี้เองที่ชาวบาบิโลนได้ค้นพบการทดสอบทองคำด้วยไฟ ซึ่งเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในการทดสอบความบริสุทธิ์ ของทองคำ และยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้
ต่อมาประมาณ 1,200 ปีก่อนคริสตกาล ชาวอียิปต์ค้นพบว่า พวกเขาสามารถผสมทองคำกับโลหะอื่น ๆ เพื่อให้มีความแข็งแกร่งขึ้น และให้มีสีที่มีสีต่างกันได้ ชาวอียิปต์ยังได้เริ่มทดลองการหล่อรูปขึ้น ด้วยขี้ผึ้ง โดยจะมีการหล่อรูปปั้นทองคำจำลองจากรูปปั้นขี้ผึ้งดั้งเดิม ซึ่งเป็นกระบวนการที่สามารถนำมาใช้สร้างประติมากรรม
อีกประมาณ 560 ต่อมาปีก่อนคริสตกาลในลิเดีย อาณาจักรเอเชีย ไมเนอร์ ได้ผลิตเหรียญทองคำบริสุทธิ์ครั้งแรกเริ่มขึ้น ชาวโรมันเริ่มเรียก เหรียญทองคำนี้ว่า Aureus ซึ่งมาจากคำภาษาละตินที่แปลว่าทองคำ คำว่า “ออรัม” จึงเป็นที่มาของสัญลักษณ์ทางเคมีของทองคำ Au ในตารางธาตุ
ในช่วงปี 1344 บริเตนใหญ่ได้ออกเหรียญทองคำแรกเรียกว่า ฟลอริน และใช้ไปทั่วยุโรป ส่วนอิตาลี สาธารณรัฐฟลอเรนซ์ได้ออกเหรียญกษาปณ์ ทองคำก้อนแรกและเรียกว่า Ducat ซึ่งในไม่ช้าก็กลายเป็นสกุลเงินทองคำ ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลกและยังคงอยู่ต่อไปอีก 5 ศตวรรษ
ปี 1787 เหรียญทองเหรียญแรกของสหรัฐฯ ก็ได้ถูกสร้างขึ้น และต่อมาในปี 1792 รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ผ่านพระราชบัญญัติ เหรียญกษาปณ์ ซึ่งทำให้สหรัฐฯ มีระบบมาตรฐานของเงินและทองคำขึ้น ซึ่งอยู่ในรูปแบบมาตรฐานเดียว
ปี 1848 ชายคนหนึ่งชื่อจอห์น มาร์แชล พบสะเก็ดทองคำในลำธารที่แคลิฟอร์เนีย นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการตื่นทองในแคลิฟอร์เนีย California Gold Rush ทำให้เกิดการตั้งถิ่นฐานในสหรัฐอเมริกาตะวันตกเพิ่มขึ้น
ต่อมาในปี 1868 George Harrison ชายแอฟริกาใต้ค้นพบทองคำ ในสวนหลังบ้านของเขาและตั้งแต่นั้นมา 40% ของทองคำที่ขุดได้ทั่วโลก ก็มาจากทวีปแอฟริกา
หลายประเทศจึงเริ่มมีการทำเหมืองขุดทองคำมากขึ้นและมูลค่าของทองคำก็ถูกผูกเข้ากับจำนวนของเงินในประเทศนั้น ๆ และทำให้เกิด ระบบมาตรฐานทองคำ
ระบบมาตรฐานทองคำ
ในปี 1800 สหราชอาณาจักรได้เริ่มผูกค่าของเงินปอนด์สเตอร์ลิงไว้กับปริมาณของทองคำและถูกเรียกว่า “ระบบมาตรฐานทองคำ Gold Standard” ในเวลานั้นสหราชอาณาจักรเป็นผู้นำการปฏิวัติอุตสาหกรรม การค้าระหว่างประเทศ และเป็นศูนย์กลางทางการเงินของโลก ทำให้เงินปอนด์สเตอร์ลิงได้รับความเชื่อถือเป็นอย่างมาก
ประกอบกับช่วงเวลานั้นเหมืองทองคำถูกขุดเป็นจำนวนมากทั้งในสหรัฐฯ ออสเตรเลีย และแอฟริกาใต้ ทำให้ปริมาณทองคำของโลกเพิ่มขึ้น ระบบมาตรฐานทองคำที่รัฐบาลประเทศหนึ่งจะพิมพ์ธนบัตรได้นั้น ต้องใช้ทองคำค้ำประกันค่าของเงินไว้ ก็ถูกใช้ในระบบการเงินกับประเทศต่าง ๆ มากขึ้น
ข้อมูลจาก www.chards.co.uk ระบุว่าในปี 1833-2023 ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงกับทองคำ 1 ออนซ์นั่นเพิ่มขึ้นจาก 4.31 ปอนด์สเตอร์ลิง เป็น 1,600 ปอนด์สเตอร์ลิงหรือคิดเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้น มากถึง 370 เท่า หรือ 37,000%
ส่วนมูลค่าของทองคำ 1 ออนซ์ต่อเงินดอลลาร์ นั้น เพิ่มขึ้นจาก 20 ดอลลาร์ฯ เป็น 2,000 ดอลลาร์ คิดเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 100 เท่าหรือ 10,000%
ระบบมาตรฐานทองคำได้รับความนิยมในฐานะตัวชี้วัดความมั่งคั่ง และความมั่นคงทางการเงินของรัฐบาลประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกมากขึ้น จนกระทั่งช่วงปี 1914 สหราชอาณาจักรได้เข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ต้องเผชิญกับค่าใช้จ่ายในการทำสงครามจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้ยกเลิก การใช้มาตรฐานทองคำแต่อย่างไร
ต่อมาสหรัฐอเมริกาเรืองอำนาจขึ้น ในสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐฯ มีค่าใช้จ่ายในการทำสงครามอย่างมากและต้องพิมพ์ธนบัตรมาใช้จ่ายมากขึ้น ทั่วโลกหันมาใช้ระบบ เบรตตัน วู้ด (Breton Wood) ที่ผูกสกุลเงินดอลลาร์ฯ ไว้กับทองคำเพียงสกุลเดียว และประเทศอื่น ๆ ก็ต้องเปลี่ยนจากการค้ำประกันทองคำเป็นเงินดอลลาร์แทน
ระบบเบรตตัน วู้ดทำให้ดอลลาร์ฯ กลายเป็นสกุลเงินสำรองหลักของโลก แต่ด้วยสภาวะสงครามที่ยังไม่จบสิ้นและสหรัฐฯ ยังคงพิมพ์ธนบัตรออกมาใช้จ่ายอยู่เรื่อย ๆ ในช่วงเวลานั้นเองสหราชอาณาจักรคิดจะเอาเงินดอลลาร์ฯ มาแลกเป็นทองคำจากสหรัฐฯ เป็นจำนวนมาก ซึ่งสหรัฐฯ ก็คงไม่สามารถหาทองคำมาได้แลกได้ตามจำนวน ทำให้ความเชื่อมั่นในระบบมาตรฐานทองคำกับเงินดอลลาร์เริ่มหมดความเชื่อถือลง
จนกระทั่งปี 1971 ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกซัน ได้ประกาศยกเลิกการผูกค่าเงินดอลลาร์ ไว้กับทองคำอย่างเป็นทางการ และเป็นจุดสิ้นสุด ของระบบมาตรฐานทองคำของโลก
แต่อย่างไรก็ตามการสะสมทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ ยังคงได้รับความนิยมอยู่ เพราะสหรัฐฯ ยังคงมีทองคำสะสมมากที่สุด ในโลกมากถึง 8,100 ตัน ส่วนอันดับสองเยอรมนีมีทองคำสะสม 3,300 ตัน และอันดับที่สามอิตาลีมีทองคำสะสม 2,400 ตัน
อ่านเพิ่ม
ปัจจุบันเงินดอลลาร์ ได้รับความนิยมว่าเป็นสินทรัพย์ค้ำประกันมูลค่าของเงินสกุลต่าง ๆ ทั่วโลก จากข้อมูล Council Foreign Relation จีนเป็นประเทศที่มีเงินดอลลาร์ สำรองมากถึง 3.2 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งมีมากที่สุดในโลก และหากจีนจะพิมพ์เงินหยวนออกมาใช้จ่าย ในประเทศก็ย่อมทำได้อย่างมีเสถียรภาพและมูลค่าของเงินหยวนไม่ลดลง
ประวัติศาสตร์ทองคำ โฉมใหม่ บิตคอยน์คือทองคำดิจิทัล ?
การใช้เงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ค้ำประกันในการพิมพ์ธนบัตรนั้น ยังมีข้อบกพร่องอยู่ เพราะจากอดีตที่ผ่านมาโลกเผชิญกับปัญหาภาวะทางการเงินมากมาย ทั้งปัญหาภาวะเงินเฟ้อ ปัญหาการลักลอบพิมพ์ธนบัตรโดยไม่สำรองเงินดอลลาร์หรือทองคำ ข้อบกพร่องนี้ เกิดจากการไม่สามารถควบคุมในการพิมพ์เงินออกมาได้อย่างรัดกุม
ปี 2009 โปรแกรมเมอร์ชื่อ ซาโตชิ คานาโมโตะ ก็ได้พัฒนา ระบบเงินแบบใหม่ขึ้น โดยสร้างจากระบบบล็อคเชน และเรียกมันว่า “บิตคอยน์” ซึ่งเป็นสินทรัพย์นี้ก็มีมูลค่าในตัวเองโดยที่ไม่ได้สร้างขึ้น จากรัฐบาลและยังไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐ
บิตคอยน์เริ่มมีมูลค่าเพิ่มขึ้นและกลายเป็นสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) แรกของโลก จนปัจจุบันได้รับความนิยมอย่างมากและ กำลังจะได้รับการยอมรับจากรัฐบาลอย่างถูกกฎหมายในรูปแบบ บิตคอยน์ ETF ทำให้หลายคนเริ่มเปรียบเทียบแล้วว่าบิตคอยน์คือทองคำ ในรูปแบบทองคำดิจิทัล และต่อไปนี้คือสิ่งที่พี่ทุยเห็นว่า บิตคอยน์ เหมือนกับทองคำ
- บิตคอยน์และทองคำเป็นสินทรัพย์สำหรับการลงทุนและการเก็งกำไร โดยเฉพาะในสภาวะ เงินเฟ้อซึ่งได้รับความนิยมมาก เพราะมูลค่าไม่สูญหายเหมือนจำนวนเงินที่มีมากขึ้น
- ปริมาณที่มีจำกัดเพียง 21 ล้านบิตคอยน์ ส่วนทองคำมีประมาณ 1.7 แสนตันทั่วโลก สินทรัพย์ที่มีปริมาณจำกัดแต่มีความต้องการมากขึ้น ทำให้มูลค่าเพิ่มขึ้นและไม่สามารถทำขึ้นได้อีก
- มีความคงทนถาวรในระบบบล็อคเชนที่ไม่สามารถทำลายได้ บิตคอยน์ถูกสร้างขึ้นจากระบบบล็อคเชนที่มีการเข้ารหัสอยู่ตลอดเวลาที่มีการขุดและไม่สามารถถูกทำลายในระบบได้ ทองคำก็เป็นแร่บริสุทธิ์ ไม่สามารถทำให้สูญหายหรือทำลายได้เช่นเดียวกัน
หากเทียบมูลค่าของทองคำกับบิตคยน์ ณ ปัจจุบันแล้วนั้น ทองคำมีมูลค่ามากถึง 13 ล้านล้านดอลลาร์ ในตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ส่วนบิตคอยน์มีมูลค่าเพียง 8.4 แสนล้าน ซึ่งน้อยกว่า ทองคำถึง 15 เท่า อย่างไรก็ดีทองคำมีประวัติศาสตร์ และมีมูลค่ามาอย่างยาวนานในอดีต ส่วนบิตคอยน์นั้นมีอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น
โดยสรุป ในยุคโบราณคุณค่าของทองคำเริ่มต้นเป็นเพียงแร่ทองที่มีประกายส่องแสงระยิบระยับเพียงเท่านั้น จนในยุคเมโสโปเตเมียได้เริ่มใช้ทองคำทำให้รูปปั้น รูปเคารพบูชา โดยเชื่อมโยงเข้ากับเทพเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
ต่อมาทองคำถูกทำเป็นเครื่องประดับเพื่อใช้บอกฐานะความมั่งคั่งร่ำรวย จนกระทั่งมนุษย์เริ่มเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์เหรียญทองคำได้ถูก สร้างขึ้นเพื่อเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน มีมูลค่าเพิ่มขึ้นและพัฒนามาเรื่อย ๆ จนใช้เป็นระบบมาตรฐานทองคำเพื่อใช้ค้ำประกันค่าของเงิน
และสุดท้ายระบบมาตรฐานทองคำก็ถูกยกเลิกไปและถูกแทนที่ด้วยระบบเงินดอลลาร์ หรือเงิน Faith Curruncy มาจนถึงปัจจุบัน
ปัจจุบันบิตคอยน์ได้รับฉายาว่าเป็นทองคำดิจิทัลถึง แม้ว่าจะไม่เป็นวัตถุที่จับต้องได้เหมือนทองคำก็ตาม แต่ก็มีคุณสมบัติที่เหมือนกับทองคำ สินทรัพย์ที่เกิดใหม่ได้เพียง 14 ปีนี้ อนาคตจะสร้างมูลค่าได้มากเท่าทองคำหรือไม่ ไม่มีใครรู้ แต่ก็ยังอยู่ในความสนใจของทุก ๆ คนรวมทั้ง รัฐบาลเอง
การลงทุนในทองคำนับว่าเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง น้อยต่างกับการลงทุนในบิตคอยน์ซึ่งสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมาก เพราะมูลค่ามีความผันผวนตลอดเวลา
สำหรับพี่ทุยแล้วไม่ว่าบิตคอยน์จะเป็นทองคำหรือไม่เป็นก็ตาม หากเรามีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนแล้ว โอกาสที่จะได้รับ ผลตอบแทนที่ดีนั้นก็ย่อมจะมีมาก เพราะทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง พี่ทุยแนะนำให้ศึกษาข้อมูลการลงทุนให้ดี และสามารถติดตามบทความดี ๆ จากพี่ทุยได้ตลอด
อ่านเพิ่ม