ทำไม รถยนต์ไฟฟ้าจีนตีตลาดสหรัฐฯ ไม่ได้ ?

ทำไม รถยนต์ไฟฟ้าจีนตีตลาดสหรัฐฯ ไม่ได้ ?

4 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • ปี 2018 เป็นปีที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดรถ EV ช่วงนั้นอดีตประธานาธิบดี Donald Trump เพิ่มอัตราภาษีนำเข้ารถจากจีนไปที่ระดับ 27.5% เมื่อการทำธุรกิจต้องเจอกับต้นทุนเพิ่มขึ้นระดับ 20-25% ความสามารถแข่งขันก็แทบจะหายวับไปในทันที
  • ยังมีปัญหาด้านคุณภาพด้านวิศวกรรมของรถ EV จีน ที่ไม่ถึงขั้นมาตรฐานสหรัฐฯ ซึ่งหากจะผ่านมาตรฐานให้ได้ จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นและขั้นตอนยุ่งยาก ยังมีความท้าทายด้านการสร้างเครือข่ายดีลเลอร์หรือตัวแทนขาย ต้นทุนการสร้างและพัฒนาบริการหลังการขาย รวมถึงการรับประกันคุณภาพ
  • ทุกวันนี้จีนแม้ยอดขายรถอีวีจีนไม่ได้สูง แต่จีนก็แทบจะควบคุมตลาดรถ EV ของสหรัฐฯ ไปแล้ว เพราะการไม่ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี ทำให้แทบทุกบริษัทยานยนต์สหรัฐฯ ที่ต้องการผลิตรถ EV ต้องพึ่งพาทั้งแบตเตอรี่และวัตถุดิบหลักจากจีน

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ทุกวันนี้ถ้าจะซื้อรถใหม่ หลายคนคงต้องมีรถ EV เป็นอีกตัวเลือก ซึ่งได้รับความนิยมวิ่งเต็มท้องถนน และส่วนใหญ่เป็นแบรนด์จากจีนที่เข้ามาตีตลาดรถไทย ในทางกลับกันที่สหรัฐฯ ประเทศซึ่งเป็นแหล่งรวมบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก กลับเป็นตลาดที่แบรนด์รถ EV จากจีนแทบไม่มีส่วนแบ่งตลาดเลย เรื่องนี้เป็นเพราะอะไร? วันนี้พี่ทุยจะพาทุกคนไปคำตอบว่า ทำไม รถยนต์ไฟฟ้าจีนตีตลาดสหรัฐฯ ยังไม่ได้ ? ไปฟังกัน

แบรนด์ EV จีนเติบโตครองโลกขนาดไหนแล้ว?

International Energy Agency หรือ IEA รายงานว่าปี 2023 มีรถ EV ใหม่ออกสู่ท้องถนนทั่วโลกรวม 14 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 35% จากปี 2022 แบ่งเป็นประเทศจีน 8.1 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 35% ตามด้วยยุโรป 3.2 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 20% และสหรัฐฯ 1.4 ล้านคัน เพิ่มขึ้น 40%

ทำไม รถยนต์ไฟฟ้าจีนตีตลาดสหรัฐฯ ไม่ได้ ?

เมื่อจีนสถาปนาตัวเองกลายเป็นเจ้าแห่งตลาดรถ EV ของโลก ก็ดันตัวเลขส่งออกรถ EV จากจีนเพิ่มแรงเช่นกัน โดยปี 2022 ยอดส่งออกอยู่ที่ 20,000 ล้านดอลลาร์ เพิ่มจากปี 2020 ซึ่งอยู่แค่เพียง 1,600 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าปี 2023 จะเพิ่มมาที่ 25,000 ล้านดอลลาร์

ซึ่งตลาดส่งออกหลักเป็นประเทศยุโรปตะวันตกประมาณ 53% ตามด้วยเอเชียแปซิฟิก 18% อเมริกาเหนือ 11% เอเชียใต้และกลาง 3.5% และอื่นๆ 14.5% และก็ไม่แปลกที่ส่วนแบ่งตลาดรถ EV จีนในยุโรปจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.6% ในปี 2023 จาก 4.1% ในปี 2022 (ประเทศไทยก็เห็นแต่แบรนด์จีน)

เห็นชัดว่าในตอนนี้รถ EV จากจีนเติบโตแรงและครองตลาดทั่วโลกเรียบร้อยแล้ว แต่หันไปดูตลาดรถ EV สหรัฐฯ กลับเป็น Tesla, Hyundai, GM และ Volkswagen ที่ครองตลาด ไม่มีแบรนด์จีนติดอันดับกลุ่มผู้นำเลย

ประเด็นนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือหาคำตอบไม่ได้ พี่ทุยจะพาไปดูกันว่าทำไมแบรนด์รถ EV ถึงไม่ครองตลาดรถ EV สหรัฐฯ?

รถยนต์ไฟฟ้าจีนตีตลาดสหรัฐฯ อุปสรรคคือภาษีนำเข้าแพงมาก 

การใช้ภาษีนำเข้ากีดกันบริษัทรถต่างประเทศมีมานานมากแล้ว ที่เห็นชัดสุดก็ในปี 1964 สหรัฐฯ ขึ้นอัตราภาษีถึง 25% สำหรับรถบรรทุกที่นำเข้า ซึ่งช่วงนั้นมีบริษัทญี่ปุ่นเป็นคู่แข่งสำคัญ เพื่อเปิดทางให้บริษัทผลิตรถบรรทุกของประเทศ ในที่สุดบริษัทญี่ปุ่นต้องยอมลงทุนสร้างโรงงานในสหรัฐฯ แต่จนถึงทุกวันนี้ตลาดรถบรรทุกในสหรัฐฯ ยังเป็นตลาดที่บริษัทต่างชาติแทบไม่สามารถแย่งชิงส่วนแบ่งได้เลย

ตัดภาพมาถึงปี 2018 เป็นปีที่จีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดรถ EV และกำลังเปิดฉากลุยตลาดต่างประเทศ ช่วงเวลานั้นอดีตประธานาธิบดี Donald Trump จัดการเพิ่มอัตราภาษีนำเข้ารถจากจีนไปที่ระดับ 27.5% ซึ่งยังคงใช้มาถึงทุกวันนี้ ในทางกลับกันยุโรปเก็บภาษีนำเข้ารถจากจีนเพียง 9%

แน่นอนว่าเมื่อการทำธุรกิจต้องเจอกับต้นทุนเพิ่มขึ้นระดับ 20-25% ความสามารถแข่งขันก็แทบจะหายวับไปในทันที นี่จึงสาเหตุหลักที่บริษัทรถ EV จากจีนตีตลาดสหรัฐฯ ไม่ได้ แต่ส่วนแบ่งตลาดในยุโรปกลับโตวันโตคืน

การขนส่ง การผลิต และมุมมองต่อแบรนด์ ยังท้าทายรถ EV จีน

นอกเหนือจากปัญหาอัตราภาษีนำเข้าที่บริษัทรถ EV ต่างชาติแทบจะเบนหน้าหนีตลาดสหรัฐฯ ไปเลย ก็ยังมีปัจจัยอื่นอีกที่ท้าทายบริษัทรถ EV จากจีนอีก

เริ่มจากคุณภาพด้านวิศวกรรมของรถ EV จีน ที่ไม่ถึงขั้นมาตรฐานสหรัฐฯ ซึ่งหากจะผ่านมาตรฐานให้ได้ จะมีต้นทุนเพิ่มขึ้นและขั้นตอนยุ่งยาก ราคาขายก็ต้องสูงขึ้น ทำให้อีกข้อได้เปรียบด้านราคารถ EV จีนต่ำกว่าคู่แข่งหายไปทันที

แถมซ้ำเติมด้วยกฎหมาย Inflation Reduction Act ที่ใช้เมื่อปี 2022 สนับสนุนส่วนลด 7,500 ดอลลาร์ ให้กับผู้ที่ซื้อรถ EV ซึ่งผลิตหรือมีส่วนประกอบหลักจากสหรัฐฯ มากกว่านั้นยังมีความท้าทายด้านการสร้างเครือข่ายดีลเลอร์หรือตัวแทนขาย ต้นทุนการสร้างและพัฒนาบริการหลังการขาย รวมถึงการรับประกันคุณภาพ

ความท้าทายด่านสุดท้าย คือ มุมมองผู้บริโภคสหรัฐฯ ต่อแบรนด์รถ EV จีน คาดว่าคงต้องใช้งบการตลาดมหาศาลเพื่อเอาชนะใจชาวสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่แข่งในแทบทุกด้านกับประเทศจีน

ก่อนหน้านี้มีตัวอย่างจากแบรนด์รถจากญี่ปุ่นที่ต้องเก็บข้าวของออกจากสหรัฐฯ หลายแบรนด์ เช่น Mitsubishi ไม่ลุยตีตลาดสหรัฐฯ, Isuzu อีกแบรนด์ต้องกลับญี่ปุ่น และ Mazda ซึ่งยังลูกผีลูกคน

ท้ายที่สุดแบรนด์จากจีนต้องเตรียมใจไว้เลยว่าจะไม่ได้รับการสนับสนุนที่เป็นประโยชน์กับบริษัทรถ EV จีนเหนือบริษัทรถ EV สหรัฐฯ แม้แต่นิดเดียว

วันหนึ่งอาจมีบริษัท EV จีนผ่านด่านเหล่านี้ไปบุกตลาดสหรัฐฯ ได้ นั่นแสดงว่าต้องมีต้นทุนที่ต่ำมากพอ เมื่อนั้นจะต้องเจอกับการตรวจสอบเรื่องการสนับสนุนเงินเพื่อลดต้นทุน และทำให้เกิดการบิดเบือนตลาด ซึ่งในตอนนี้สหภาพยุโรปเริ่มตรวจสอบประเด็นนี้กับบริษัทรถ EV จีนแล้ว

รถยนต์ไฟฟ้าจีนตีตลาดสหรัฐฯ จะทำได้ด้วยกลยุทธ์อะไร?

หลายปีที่ผ่านมาบริษัทรถ EV จีนเริ่มผลิตรถจากเม็กซิโกและส่งเข้าไปขายผ่านศูนย์จำหน่ายทางสายแดนตอนใต้ของสหรัฐฯ ช่วยแก้ปัญหาอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนที่สูงมาก

และในเมื่อตีตลาดด้วยแบรนด์จีนโดยตรงเป็นเรื่องที่ยาก บริษัทรถ EV จีนที่ชื่อ Geely ได้ซื้อ Polestar บริษัท startup รถ EV ของ Volvo ไปเรียบร้อย และส่งรถ EV เข้าไปขายในสหรัฐฯ เมื่อปีที่แล้วได้ประมาณ 10,000 คัน โดยมีแผนขายรถ EV ที่ผลิตจากโรงงานใน South Carolina เพื่อเลี่ยงการโดนเก็บภาษีนำเข้า

โมเดลธุรกิจนี้อาจต่อยอดให้มีโอกาสเห็นการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างบริษัทรถ EV จีนกับบริษัทยานยนต์สหรัฐฯ ซึ่งหลายปีที่ผ่านมาไม่ยอมลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีรถ EV จนตามหลังบริษัทจากจีนหลายก้าว

สุดท้ายแม้แผนเหล่านี้อาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้ แต่ทุกวันนี้จีนก็แทบจะควบคุมตลาดรถ EV ของสหรัฐฯ ไปแล้ว เพราะการไม่ลงทุนพัฒนาเทคโนโลยี ทำให้แทบทุกบริษัทยานยนต์สหรัฐฯ ที่ต้องการผลิตรถ EV ต้องพึ่งพาทั้งแบตเตอรี่และวัตถุดิบหลักจากจีน

อ่านเพิ่ม

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile