การมีชีวิตอยู่ในเมืองไทย พี่ทุยยอมรับเลยนะว่า รถยนต์เป็นสินทรัพย์เสื่อมค่าที่ดูเหมือนจะจำเป็นที่สุดแล้วล่ะ ที่ใคร ๆ ก็ ซื้อรถยนต์ นั่นก็เพราะว่าระบบสาธารณะบ้านเรา ดูแล้วจะไม่เพียงพอและไม่ได้มีคุณภาพมากพอที่จะให้คนส่วนใหญ่หันมาใช้ได้ ดั่งคำที่ว่า
ประเทศที่เจริญแล้ว คือ ประเทศที่คนรวยยอมใช้รถสาธารณะ
แต่ถ้าถามพี่ทุยว่า ถ้าเราไม่สะดวกที่จะนั่งรถสาธารณะเลย แล้วเรามีความจำเป็นที่จะต้องซื้อรถยนต์ เราจะต้องมีการเตรียมตัวยังไง ?
สูตรคำนวณราคา ซื้อรถยนต์
ก่อนอื่นพี่ทุยก็คงแนะนำให้ไปดูที่งบประมาณกันก่อน ว่าเราไม่ควรซื้อรถที่เกินกำลังหรือความเหมาะสมของตัวเอง พี่ทุยมีสูตรเด็ดมาแนะนำตามสมการนี้เลย
ราคารถที่เราขับ = รายได้เราทั้งปี
ถ้าเรารายได้ปีละ 1,000,000 บาท รถที่เราควรขับก็ราคาไม่ควรเกิน 1,000,000 บาทนั่นเอง ง่าย ๆ แค่นั้นเลย ลองมาดูตัวอย่างการคำนวณกัน ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น
ปกติรถเราจะดาวน์ประมาณ 25% โดยเฉลี่ยแล้วก็ผ่อนประมาณ 5 ปี ถ้ารถ 1,000,000 บาท ผ่อนชำระ 5 ปี ดาวน์ 25% แล้วดอกเบี้ยประมาณ 2% เราจะผ่อนเดือนละ 13,750 บาท
สำหรับคนที่รายได้ปีละ 1,000,000 บาท แปลว่าเรารายได้เดือนละประมาณ 83,000 บาท ถ้ารายจ่ายเรื่องการผ่อนรถคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ต่อรายได้ต่อเดือนก็ประมาณ 16-17% แล้วถ้ารวมค่าน้ำมัน ค่าซ่อมบำรุง ก็น่าจะอยู่ประมาณ 20-25% พอดี ซึ่งเราก็ไม่ควรมีค่าใช้จ่ายเรื่องรถเกิน 25% ของรายได้เราในแต่ละเดือน เพราะชีวิตยังมีค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ อีก เช่น ค่าเช่าบ้าน ค่าอาหาร นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทำไมราคารถที่เราขับถึงไม่ควรเกินรายได้เราทั้งปี
แต่ถ้าเรารายได้น้อยล่ะ จะทำยังไง ? อย่างเช่น เด็กจบใหม่เงินเดือน 20,000 บาท ปีหนึ่งก็ 240,000 บาท งั้นก็แปลว่าไม่ควรซื้อรถเกิน 240,000 บาทเหรอพี่ทุย คำตอบก็คือใช่ ! ถ้าเราซื้อรับรองได้เลยว่าลำบากแน่นอน เพราะการมีรถอย่าง Eco Car 1 คัน พี่ทุยบอกได้เลยว่ามีค่าใช้จ่ายอย่างน้อยก็เดือนละ 10,000 บาทแน่นอน ! เน้นว่าอย่างน้อยนะจ๊ะ
แล้วถ้าเราเหลือเงินแค่ 50% อนาคตมีแนวโน้มที่จะมีปัญหาเรื่องการเงินสูงมาก ๆ เลยพี่ทุยขอเตือนน้าาาาาา เวลาเราอยากจะซื้อสิ่งของอะไรบางอย่าง ใจเราอะไรก็ไหวทั้งนั้น แต่กระเป๋าตังค์เราไม่ได้ไหวไปกับใจเราด้วยหรอกนะ พี่ทุยไม่อยากให้สุดท้ายทุกคนต้องบ่นว่า “รู้งี้.. ไม่น่าซื้อเลยดีกว่า”
อ่านเพิ่ม