Fear and Greed Index คือ ดัชนีความกลัวและความโลภถูกพัฒนาโดย CNNMoney ซึ่งนำไปใช้ในตลาดหุ้น และในปัจจุบัน Alternative.me ได้นำแนวคิดนั้นไปสร้างเป็นดัชนี Fear and Greed ไปประยุกต์ใช้กับการดูพฤติกรรมที่แสดงออกมาทางอารมณ์ของนักลงทุนในตลาดคริปโต ซึ่งเป็นการวัดความกลัวและความโลภใน Bitcoin อีกทั้งยังสามารถใช้วัดความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อตลาด และแสดงให้เห็นว่าตลาดอยู่ในสภาวะ “ขาขึ้นหรือขาลง”
ทำไมต้องใช้ Fear and Greed Index ?
ตามแนวคิดของ The Cycle of Emotion Market ตลาดในสภาวะต่าง ๆ กันก็ทำให้เกิดอารมณ์ที่แตกต่างกันไป เช่น เกิดความกลัว จึงเกิดการเทขายสินทรัพย์ ในตอนที่ตลาดลงจนถึงขีดสุด เพราะ กลัวจะขาดทุนไปมากกว่านี้ แต่อาจจะไม่ได้พิจารณาปัจจัยอื่น ๆ เช่น อินดิเคเตอร์, ข่าวช็อคระยะสั้น รวมถึง ณ จุดตรงนั้นอาจจะมีโอกาสเป็นจุดกลับตัวของตลาด
หรือเกิดความโลภเมื่อตลาดมีสภาวะฟองสบู่ อารมณ์กลัวตกรถที่นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบพูดกัน หรือแม้แต่ Fear Of Missing Out (FOMO) เองที่หลายคนอาจจะคุ้นเคย ซึ่งหมายถึงความกลัวที่จะพลาดโอกาสทำกำไร เพราะคิดว่าสินทรัพย์นั้นกำลังขึ้น จึงเข้าไปลงทุน แต่เมื่อเข้าไปลงทุนแล้วจุดนั้นอาจจะเป็นจุดสูงสุด และสินทรัพย์ก็โดนเทขายทันที (ติดดอยไปตามระเบียบ)
อารมณ์ของนักลงทุนคนเดียวอาจจะไม่มีผลกระทบอะไรมากกับตลาด แต่ถ้าหากนักลงทุนหลายคนคิดแบบเดียวกันพร้อม ๆ กันก็จะกลายเป็นคลื่นลูกใหญ่สร้าง “ความผันผวน” ให้กับตลาดได้
ซึ่งความโลภและความกลัวเป็นอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ที่มักแสดงออกมาในเวลาที่อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล นั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องพิจารณาว่าภาพรวมตลาดในตอนนั้นมีอารมณ์แบบไหน ก่อนตัดสินใจลงทุน เราจึงจำเป็นที่ต้องใช้ดัชนีนี้ เพื่อนำไปพิจารณาในการตัดสินใจลงทุนนั่นเอง
ตัวชี้วัดในการสร้าง Fear and Greed Index
ระดับค่าความกลัวและความโลภอยู่ระหว่าง 0-100 แบ่งเป็นระดับได้ดังนี้
0-25 (Extreme Fear) = สภาวะที่นักลงทุนหรือตลาดมีความกลัวขั้นสุด เกิดการขาดทุนที่มาก จนหลายคนอยากจะขาย
26-49 (Fear) = สภาวะที่นักลงทุนหรือตลาดยังมีความกลัวอยู่เล็กน้อย
50 (Neutral) = สภาวะที่นักลงทุนหรือตลาดอยู่ในเกณฑ์ปกติ
51-74 (Greed) = สภาวะที่นักลงทุนหรือตลาดมีความโลภ
75-100 (Extreme Greed) = สภาวะที่นักลงทุนหรือตลาดมีความโลภขั้นสุด เกิดอารมณ์ FOMO ได้ง่าย
โดยคิดคำนวณแบบค่าเฉลี่ยถ่วงน้ำหนัก ที่อาศัยปัจจัยต่อไปนี้
1. ความผันผวนของตลาดเปรียบเทียบกับความผันผวนเฉลี่ยตามช่วงเวลาที่เลือก 25%
2. ปริมาณการซื้อขายของตลาด 25%
3. Social Media ซึ่งเป็นเก็บข้อมูลการพูดถึง Bitcoin บน Twitter 15%
4. การถือครอง Bitcoin 10% ซึ่งดูจากหากการถือครอง BTC ลดลง แสดงว่าเงินจะถูกโยกไปยังเหรียญทางเลือก (Alt Coin) ซึ่งนั่นกำลังบ่งบอกได้ว่าตลาดกำลังเกิดความโลภและแรงเก็งกำไรในเหรียญอื่นที่ไม่ใช่ BTC
5. Trend 10% ดูพฤติกรรมการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin ใน Google
6. แบบสำรวจบนแพลตฟอร์มเพื่อดูมุมมองของผู้ตอบแบบสอบถาม 15% (ถูกระงับชั่วคราวเนื่องจากไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร)
วิธีการประยุกต์ใช้ Fear and Greed Index ในการลงทุน
นักลงทุนสามารถใช้ตัวเลขดัชนีความกลัวกับความโลภไปใช้ทำกำไรได้ โดยการใช้ “แนวรับ – แนวต้าน” ที่ใช้พิจารณากราฟ “จับจังหวะซื้อ-ขาย”
พี่ทุยลองไปดูข้อมูลสถิติของดัชนี แนวต้านบนสุดของดัชนี Fear and Greed คือค่าประมาณ 95 เช่น วันที่ 6 ม.ค. 2564 เป็นช่วงที่ BTC ทำ All Time High เมื่อเทียบกับราคาก่อนหน้า
แนวรับล่างสุดของดัชนี Fear and Greed คือค่าประมาณ 10 จากข้อมูลในอดีตที่ปรากฏทั้งหมด มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ดัชนีลงไปอยู่ที่ 5 เช่น วันที่ 21 ก.ค. 2564 ค่าดัชนี Fear and Greed = 10 เป็นช่วงเวลาหลังจากที่ BTC ลงมาที่ 29,278 ดอลลาร์ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดการปรับฐานครั้งใหญ่ของ Bitcoin หลังจากขึ้นไปทำสถิติสูงสุดที่ราคาประมาณ 60,000 ดอลลาร์
แต่ต้องบอกก่อนว่า “ดัชนี Fear and Greed” ที่ใช้ความกลัวเเละความโลภมาคำนวณเป็นเครื่องมือทางเทคนิค นั้นไม่สามารถทำนายอนาคตได้แบบ 100% แต่ควรใช้ประกอบการตัดสินใจร่วมกับเครื่องมือตัวอื่น ๆ ในการลงทุน เพื่อให้สามารถวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น