SPRC ปิดดีลซื้อ ปั๊มคาลเท็กซ์ สัญญาณ Chevron ถอนการลงทุนในไทย

SPRC ปิดดีลซื้อ ปั๊มคาลเท็กซ์ สัญญาณ Chevron ถอนการลงทุนในไทย

3 min read    Money Buffalo

ฉบับย่อ

  • SPRC ปิดดีลมูลค่า 5,562.5 ล้านบาท ตามที่แจ้งไว้กับตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเดือน ธ.ค. 2565 โดยเป็นการลงทุนในธุรกิจปั๊มน้ำมันแบรนด์ Caltex 450 แห่ง ดีลนี้ SPRC ใช้เงินทุนจากกระแสเงินสดภายในและกู้ยืม โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/67
  • เชฟรอนพิจารณาทยอยถอนธุรกิจออกจากไทย ต้องจัดการกับบริษัท SPRC ที่ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันซึ่งอยู่ในเครือและยังขายไม่ได้ จึงควรเสริมธุรกิจปั๊มเข้ามาเพื่อให้ครบวงจร เลยเกิดดีลขายปั๊ม Caltex ให้ SPRC
  • ปัจจุบันธุรกิจปั๊มเริ่มถูกกระแสรถ EV เข้ามารบกวน ภาครัฐบีบด้านราคาขายน้ำมัน แนวโน้มกำไรจากการขายน้ำมันจึงแย่ลง โมเดลธุรกิจปั๊มจึงเปลี่ยนไปเน้นรายได้จาก Non-oil เช่น ร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจอาหาร ซึ่งทุกวันนี้ยังมีความต้องการอยู่ แถมกำไรดีกว่าขายน้ำมัน

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

เมื่อวันที่ 3 ม.ค. 2567 เปิดปีใหม่มาไม่กี่วัน บริษัท สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ SPRC ประกาศเสร็จสิ้นการซื้อธุรกิจจัดจำหน่ายปิโตรเลียมจาก Chevron Asia Pacific Holdings Limited (CAPHL) ภายใต้แบรนด์ Caltex หรือ ปั๊มคาลเท็กซ์ ที่เราคุ้นเคยกัน

วันนี้พี่ทุยจะมาวิเคราะห์กันหน่อยว่าทำไม SPRC ถึงต้องซื้อปั๊ม Caltex แล้วดีลนี้สะท้อนสัญญาณการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างในธุรกิจปั๊มน้ำมัน?

รายละเอียดดีลซื้อ ปั๊มคาลเท็กซ์ 450 แห่ง

SPRC ปิดดีลมูลค่า 5,562.5 ล้านบาท ตามที่แจ้งไว้กับตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเดือน ธ.ค. 2565 โดยเป็นการลงทุนในธุรกิจปั๊มน้ำมันแบรนด์ Caltex 450 แห่ง, สัดส่วนการถือครองหุ้น BAFS 2.51%, สัดส่วนการถือครองหุ้นบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย จำกัด 9.91%, ที่ดินการประกอบธุรกิจและคลังน้ำมันในจังหวัดสงขลาและสุราษฎร์ธานี

สำหรับการปิดดีลนี้ SPRC ใช้เงินทุนจากกระแสเงินสดภายในและกู้ยืม เนื่องจาก SPRC มีสัดส่วนหนี้ต่อส่วนผู้ถือหุ้นต่ำ ทำให้ยังกู้ยืมได้ โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 1/67

มาถึงจุดนี้น่าจะสงสัยกลับแล้วว่าทำไม CAPHL ถึงขายปั๊ม Caltex ด้วยมูลค่าประมาณ 12.36 ล้านบาท เท่านั้น? กระซิบว่า SPRC ก็เป็นบริษัทในเครือเชฟรอนอีกทีหนึ่ง

อ่านเพิ่ม

เชฟรอนทยอยถอนธุรกิจออกจากไทย

เชฟรอนดำเนินธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศไทยภายใต้ บริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด มานานกว่า 60 ปี ซึ่งมีบริษัทในเครือ เช่น บริษัท เชฟรอน ปัตตานี จำกัด บริษัท เชฟรอน ออฟชอร์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เชฟรอน ปิโตรเลียม (ประเทศไทย) จำกัด

และยังมีบริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ทำธุรกิจจำหน่ายน้ำมันสำเร็จรูปทั้งปั๊มน้ำมันและลูกค้าเชิงพาณิชย์ภายใต้แบรนด์ Caltex

เมื่อเชฟรอนส่งมอบพื้นที่สัมปทานแหล่งก๊าซเอราวัณ, ปลาทอง, สตูล, และฟูนาน ให้กับ ปตท. สผ. ทำให้เชฟรอนเหลือแหล่งก๊าซแค่แหล่งไพลินและเบญจมาศ กำลังการผลิตเหลือแค่ 30% ของปริมาณผลิตเดิม แต่ยังแบกรับค่าใช้จ่ายพนักงานเท่าเดิมท่ามกลางแนวโน้มธุรกิจที่นับวันจะมีแต่ถดถอย

นี่เป็นต้นเหตุให้เชฟรอนพิจารณาขายธุรกิจปั๊มในไทยเพื่อเอาเงินทุนไปมองหาโอกาสทำธุรกิจใหม่

ธุรกิจโรงกลั่นของ SPRC ยังอยู่ในไทย แต่รายได้กำไรไม่นิ่ง

ทีนี้พอเชฟรอนจะทยอยถอนธุรกิจออกจากไทย ก็ยังต้องจัดการกับบริษัท SPRC ที่ดำเนินธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันซึ่งอยู่ในเครือ โดยมี Chevron South Asia Holdings Pte Ltd ถือหุ้นด้วยสัดส่วน 60.56% โดยมีทางเลือกระหว่างขายธุรกิจกับปรับโครงสร้างและพัฒนาธุรกิจ

การขายธุรกิจโรงกลั่นที่กำลังถดถอยในเวลานี้คงไม่ได้ราคาที่น่าพอใจ ดังนั้นธุรกิจนี้ก็ยังต้องอยู่ในเครือเชฟรอนต่อไป ซึ่งมีจุดอ่อนให้ต้องแก้ตรงที่รายได้และกำไรไม่สม่ำเสมอ พอดูงบตั้งแต่ปี 2561 จะเห็นปัญหานี้ชัดเจน

  • ปี 2561 รายได้ 208,106.72 ล้านบาท กำไร 2,263.2 ล้านบาท
  • ปี 2562 รายได้ 168,611.49 ล้านบาท ขาดทุน 2,808.70 ล้านบาท
  • ส่วนปี 2563 รายได้ 129,598.69 ล้านบาท ขาดทุน 6,004.84 ล้านบาท
  • ปี 2564 รายได้ 170,330.86 ล้านบาท กำไร 4,746.46 ล้านบาท
  • ปี 2565 รายได้ 281,298.61 ล้านบาท กำไร 7,673.80 ล้านบาท

เพื่อแก้จุดอ่อนนี้ SPRC ต้องเพิ่มธุรกิจที่จะทำให้รายได้และกำไรสม่ำเสมอขึ้น เมื่อมองไปมองมาก็หนีไม่พ้นธุรกิจปั๊มน้ำมัน ซึ่ง SPRC มีบริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด หรือปั๊ม Caltex เป็นลูกค้าใหญ่ที่สร้างรายได้ 43.2% ของรายได้รวม แถมยังอยู่ในเครือเดียวกัน

ก็คงไม่มีเหตุผลอะไรแล้วที่ทั้ง SPRC และ CAPHL จะไม่ปิดดีลนี้ เพราะทางฝั่งเชฟรอนก็ได้ปรับโครงสร้างองค์กรในไทยและรักษาฐานลูกค้าปั๊ม Caltex ให้ยังอยู่ในเครือต่อไปด้วยการส่งต่อธุรกิจปั๊มไปรวมกับธุรกิจโรงกลั่นโดยมี SPRC ดูแล ด้าน SPRC นอกจากเพิ่มความครบวงจรแล้ว เป็นการควบรวมที่ราคาไม่แพง และยังได้ลดการพึ่งพารายได้จากบริษัทกลุ่มเชฟรอนด้วย

เมื่อโลกเปลี่ยนไป รายได้ Non-oil จึงสำคัญกับธุรกิจปั๊ม

ปัจจุบันธุรกิจปั๊มเริ่มถูกกระแสรถ EV เข้ามารบกวน ภาครัฐบีบด้านราคาขายน้ำมัน ยิ่งเป็นปั๊มต่างชาติที่มีส่วนแบ่งตลาดน้อยกว่าปั๊มไทยยิ่งควบคุมราคาเองยาก แนวโน้มกำไรจากการขายน้ำมันจึงแย่ลง

โมเดลธุรกิจปั๊มจึงเปลี่ยนไปเน้นรายได้จาก Non-oil เช่น ร้านกาแฟ ร้านสะดวกซื้อ ธุรกิจอาหาร ซึ่งทุกวันนี้ยังมีความต้องการอยู่ แถมกำไรดีกว่าขายน้ำมัน เจ้าตลาดปั๊มอย่าง PTT OR ก็ลงมาเล่นตลาด Non-oil ชัดเจน ด้านบางจากก็ขยายตลาดซื้อปั๊ม Esso ไปแล้ว ส่วน PTG มีจุดเด่นเรื่องจำนวนปั๊มสูงสุดก็กำลังเน้นเพิ่มรายได้จาก Non-oil เช่นกัน

หลังดีลนี้สร้างความได้เปรียบด้านวัตถุดิบจากโรงกลั่นให้ปั๊ม Caltex เรียบร้อยแล้ว แถมเป็นดีลที่ต้นทุนไม่แพงด้วย ทีนี้ก็ต้องเดินหน้าลุยตลาดฝั่ง Non-oil ซึ่งเป็นอนาคตใหม่ของธุรกิจปั๊ม เพื่อให้ผลประกอบการ SPRC เพิ่มขึ้นและสม่ำเสมอ

ดีลซื้อ ปั๊มคาลเท็กซ์ กระทบตลาดปั๊มน้ำมันในไทยหรือไม่?

ข้อมูลล่าสุดต้นปี 2566 PTT OR ครองอันดับ 1 ของตลาดปั๊มในไทยด้วยปั๊ม ปตท. จำนวน 2,473 สาขา ตามด้วยอันดับ 2 PTG ที่มีปั๊ม PT Station จำนวน 2,212 สาขา อันดับ 3 บางจากหลังควบรวม Esso ทำให้มีปั๊มบางจากรวมทั้งหมด 2,071 สาขา

ส่วนดีลนี้ที่ได้ปั๊ม Caltex จำนวน 450 สาขา ถ้าเทียบกับเจ้าใหญ่ในตลาดแล้วยังไม่สามารถเบียดแย่งส่วนแบ่งได้เลย แต่ทั้งดีลนี้และดีลบางจากซื้อ Esso ชี้ให้เห็นความสำคัญของรายได้ฝั่ง Non-oil ซึ่งอาจเป็นแรงผลักดันให้ SPRC เร่งขยายสาขาปั๊ม Caltex ขึ้นมาเป็นคู่แข่งเบียดแย่งส่วนแบ่งตลาดในไทย

พี่ทุยสรุปว่าทิศทางธุรกิจปั๊มน้ำมันกำลังเปลี่ยนไปชัดเจน มุ่งสู่การเป็นแหล่งพักรถ สร้างรายได้จากฝั่ง Non-oil ส่วนความท้าทายใหญ่ต่อจากนี้ คือ การปรับตัวกับกระแสรถ EV ซึ่งเริ่มเห็น PTT OR ขยับตัวบ้างแล้ว จึงน่าติดตามว่า Caltex จะลุยสมรภูมินี้ในทิศทางไหนท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile