เมื่อคืนที่ผ่านมาประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” เปิดเผยร่างแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการขนส่ง พลังงานหมุนเวียน อุตสาหกรรม และการลดภาวะโลกร้อน ที่เมืองพิตส์เบิร์ก ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ
ด้วยเม็ดเงินประมาณ 2.25 ล้านล้านดอลลาร์ สำหรับช่วงเวลา 8 ปีต่อจากนี้ จะเป็นโครงการลงทุนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่โครงการด้านอวกาศเมื่อทศวรรษที่ 60 และโครงการลงทุนระบบทางหลวงระหว่างรัฐเมื่อทศวรรษที่ 50
ซึ่งร่างนี้ออกมาตามหลังร่างกฎหมายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาด 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” มีแผนการขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 21% มาที่ 28% และขึ้นภาษีเงินได้จากต่างประเทศจาก 13% มาที่ 21% เพื่อนำมาเป็นเงินลงทุนสำหรับแผนการนี้
10 แผนการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของ “โจ ไบเดน”
พี่ทุยจะมาสรุปรายละเอียดพร้อมจำนวนเงินของร่างแผนการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ว่าไปลงในส่วนไหนบ้าง ซึ่งมีอยู่ 10 กลุ่มด้วยกัน พร้อมแล้วไปติดตามกันเลย..
กลุ่มที่ 1 ระบบขนส่ง 621,000 ล้านดอลลาร์
เม็ดเงิน 115,000 ล้านดอลลาร์ ถูกใช้เพื่อซ่อมแซมและสร้างสะพาน ทางหลวง และถนน และอีก 20,000 ล้านดอลลาร์ จะถูกใช้เพื่อพัฒนาทางหลวง และถนน ขณะที่เงินจำนวน 85,000 ล้านดอลลาร์ จะถูกใช้เพื่อพัฒนาการระบบรางและขนส่งสาธารณะ นอกจากนี้บริษัท Amtrak จะได้รับเงินจำนวน 80,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาเส้นทางแถบตะวันออกเฉียงเหนือระหว่างเมืองบอสตันและวอชิงตัน
ที่น่าสนใจ คือ จะเตรียมเงินจำนวนกว่า 174,000 ล้านดอลลาร์ เจาะจงไปที่ยานพาหนะไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นส่วนลดราคา หรือ ภาษีเพื่อจูงใจให้ซื้อรถยนต์ไฟฟ้าของสหรัฐฯ นอกจากนี้งบบางส่วนจะถูกส่งไปยังหน่วยงานระดับรัฐ ท้องถิ่น และเอกชน เพื่อจัดซื้อพาหนะไฟฟ้าแทนที่พาหนะที่ยังใช้น้ำมันให้หน่วยงานภาครัฐ และสร้างจุดชาร์จไฟฟ้ากว่า 500,000 จุด ภายในปี 2030
ไม่เพียงแต่เส้นทางทางบกเท่านั้นที่ได้รับงบเพื่อพัฒนา สนามบินจะได้รับงบ 25,000 ล้านดอลลาร์ และอีก 20,000 ล้านดอลลาร์ สำหรับท่าเรือ การเดินทางทางน้ำ
กลุ่มที่ 2 สวัสดิการสาธารณสุขและบุคลากรสาธารณสุข 400,000 ล้านดอลลาร์
ร่างงบประมาณนี้จะถูกใช้เพื่อสนับสนุนสวัสดิการด้านสาธารณสุขให้กับผู้สูงอายุและผู้พิการ และจะมีการเสนอให้เพิ่มค่าจ้างบุคลากรที่ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน ซึ่งรวมไปถึงการเพิ่มโอกาสให้บุคลากรเหล่านี้ ได้เข้าร่วมสหภาพแรงงาน ขณะเดียวกันจะสนับสนุนงบประมาณ 18,000 ล้านดอลลาร์ เพื่มปรับปรุงโรงพยาบาลทหารผ่านศึก
กลุ่มที่ 3 อุตสาหกรรม 300,000 ล้านดอลลาร์
ร่างการลงทุนจะอัดฉีดเงินลงทุน 50,000 ล้านดอลลาร์ เข้าไปยังอุตสาหกรรมการผลิตและวิจัยเซมิคอนดัคเตอร์ และอีก 30,000 ล้านดอลลาร์ เพื่ออุตสาหกรรมเครื่องมือการแพทย์ สำหรับการรับมือ หากเกิดการแพร่ระบาดขึ้นในอนาคต
มีแผนการสนับสนุนศูนย์พัฒนานวัตกรรมในแต่ละภูมิภาค ซึ่งจะผลักดัน Project ที่นำโดยชุมชน ซึ่งใช้งบประมาณที่ 20,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะเดียวกันประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” ยังร่างแผนสนับสนุนเงิน 46,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อให้หน่วยงานภาครัฐซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ที่ชาร์จแบตเตอรี่ และเครื่องทำความร้อนไฟฟ้าสำหรับอาคารพาณิชย์และครัวเรือน ซึ่งจะเป็นการหนุนอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดไปด้วย
กลุ่มที่ 4 ครัวเรือน 213,000 ล้านดอลลาร์
เพื่อสร้างและปรับปรุงที่อยู่อาศัยกว่า 2 ล้านหลัง สำหรับชนชั้นกลางและล่าง ซึ่งรวมไปถึงการลดภาษีในการสร้างที่อยู่อาศัยสำหรับครอบครัวที่มีรายได้ต่ำ
อ่านต่อเรื่อง สรุป “ภาษีที่ดิน” ปรับลด 90% เริ่มใช้จริงปี 2564
กลุ่มที่ 5 การวิจัยและพัฒนา 180,000 ล้านดอลลาร์
เพื่อพัฒนาการวิจัยด้านโครงสร้างพื้นฐาน และศูนย์วิจัยในมหาวิทยาลัยและหน่วยงานภาครัฐ สนับสนุนเม็ดเงินโดยตรงไปสู่การวิจัยด้านสภาพอากาศ และยังมุ่งจัดการกับความไม่เท่าเทียมด้านเพศและเชื้อชาติ ในสาขาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี
กลุ่มที่ 6 น้ำสะอาด 111,000 ล้านดอลลาร์
ใช้งบประมาณ 45,000 ล้านดอลลาร์ เปลี่ยนท่อส่งน้ำที่ทำจากตะกั่ว อัดฉีดงบจำนวน 56,000 ล้านดอลลาร์ ช่วยเหลือเป็นเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้กับรัฐ ท้องถิ่น และชุมชนที่ด้อยโอกาส เพื่อพัฒนาระบบน้ำ และอีก 10,000 ล้านดอลลาร์ สนับสนุนระบบน้ำที่ดีในชนบทและการบำบัดน้ำเสีย
กลุ่มที่ 7 การศึกษาและสวัสดิการเยาวชน 100,000 ล้านดอลลาร์
เพื่อสร้างโรงเรียนรัฐเพิ่มและพัฒนาอาคารเรียนให้มีระบบระบายอากาศที่ดีขึ้น พัฒนาห้องแลปเทคโนโลยี และสนับสนุนด้านโภชนาการ
เงินลงทุนอีก 12,000 ล้านดอลลาร์ ส่งตรงไปยังรัฐเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อวิทยาลัยชุมชน และ 25,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อปรับปรุงและเพิ่มสถานดูแลเด็กในพื้นที่ที่มีความต้องการ และลดภาษีเพื่อสนับสนุนให้นายจ้างสร้างสถานดูแลเด็กในที่ทำงาน
กลุ่มที่ 8 โครงสร้างพื้นฐานดิจิตอล 100,000 ล้านดอลลาร์
เพื่อให้ชาวอเมริกันทุกครัวเรือนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ร่างงบลงทุนในส่วนนี้ยังมุ่งให้เกิดการแข่งขันด้านราคา ระหว่างผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตที่โปร่งใสและแข่งข้นได้ รวมไปถึงให้การสนับสนุนในระยะสั้นต่อครอบครัวที่มีรายได้ต่ำเพื่อเข้าถึงอินเทอร์เน็ต
กลุ่มที่ 9 พัฒนาแรงงาน 100,000 ล้านดอลลาร์
เพื่อพัฒนาแรงงานสำหรับอุตสาหกรรมที่มีความต้องการแรงงานสูง เช่น พลังงานสะอาด อุตสาหกรรม และสาธารณสุข ในหัวข้อนี้ของแผนการลงทุนได้สนับสนุนเงินให้กับการฝึกงาน โครงสร้างเส้นทางอาชีพสำหรับนักเรียนมัธยมต้นและปลาย รวมไปถึงโครงการฝึกอาชีพในวิทยาลัยชุมชน
กลุ่มที่ 10 เครือข่ายส่งไฟฟ้า 100,000 ล้านดอลลาร์
เพื่อสร้างเครือข่ายส่งไฟฟ้าที่มีหลายช่องทางในการจัดส่งพลังงาน ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้ระบบจัดส่งไฟฟ้าด้วยความสามารถเปลี่ยนช่องทางการเดินของไฟฟ้าหากมีจุดใดจุดหนึ่งในระบบล่ม
ลดภาษีลงทุนและการผลิตสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนและที่จัดเก็บพลังงาน โดยมุ่งหวังให้สหรัฐฯ ปราศจากการพลังงานที่ปล่อยคาร์บอนภายในปี 2035 และจะมีงบจำนวน 16,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อจัดการกับเหมืองและหลุมแก๊สที่ถูกทิ้งร้าง
เม็ดเงินลงทุนของ “โจ ไบเดน” มาจากไหน ?
- การขึ้นภาษีนิติบุคคล: จะปรับขึ้นจาก 21% มาที่ 28% โดยก่อนหน้านี้ในยุคของประธานาธิบดีทรัมป์ได้มีการปรับลดลงจาก 35% เหลือ 21%
- ภาษีรายได้ขั้นต่ำที่มาจากต่างประเทศ: ขึ้นภาษีรายได้ขั้นต่ำที่มีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ จาก 13% มาที่ 21% และคำนวณเป็นรายประเทศเพื่อป้องกันการนำเงินไปไว้ในบางประเทศที่เป็นแหล่งในการเลี่ยงภาษี
- คิดภาษีจากรายได้ที่รายงานในงบต่อนักลงทุน: จะเรียกเก็บภาษีรายได้ขั้นต่ำ 15% จากรายได้ที่บริษัทที่มากที่สุดซึ่งถูกรายงานต่อนักลงทุน ซึ่งจะไม่ตรงกับรายได้ที่รายงานไปยังหน่วยงานรัฐ
- การควบรวมกิจการ: จะสร้างมาตรการที่ทำให้บริษัทในสหรัฐฯ ควบรวมกับกิจการต่างประเทศได้ยากขึ้น เพื่อป้องกันการหลบเลี่ยงภาษีรายได้ โดยรายงานว่าเป็นรายได้ของบริษัทในต่างประเทศ
ใครได้ประโยชน์จากการกระตุ้นเศรษฐกิจของ “โจ ไบเดน” ?
จะเห็นว่าแผนการลงทุนนี้จะมีเม็ดเงินเข้าไปยัง 2 ภาคส่วนอย่างชัดเจน นั่นคือ
- โครงสร้างพื้นฐาน
- พลังงานหมุนเวียนและรถยนต์ไฟฟ้า
ก่อนหน้านี้หุ้นในกลุ่มที่จะได้รับประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งประกอบไปด้วยกลุ่มวัสดุโดยเฉพาะเหล็กและอุตสาหกรรม ปรับตัวขึ้นมาโดดเด่นเหนือดัชนี S&P 500
Source: https://www.bloomberg.com/
ไม่ว่าจะเป็นบริษัทผู้ผลิตเหล็กอย่าง Nucor, United States Steel และ Steel Dynamics เช่นเดียวกับบริษัท Caterpillar ผู้ผลิตเครื่องจักรอุตสาหกรรม ซึ่งราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาโดดเด่นเหนือดัชนี S&P 500 นับตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ก่อนที่จะย่อตัวลงในวันที่มีการเปิดเผยแผนการลงทุนอย่างเป็นทางการ
ส่วนกลุ่มพลังงานหมุนเวียนและรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นตั้งแต่ประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” ชนะการเลือกตั้ง ก่อนจะปรับตัวลงมาตามแรงกดดันของ Bond Yield ต่อหุ้นเทคโนโลยี มีเพียงไม่กี่บริษัทที่ปรับตัวขึ้นในวันที่ประธานาธิบดี “โจ ไบเดน” เปิดเผยแผนการลงทุน
Tesla ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าชื่อดัง ราคาหุ้นขึ้น 5.1% บริษัทที่ทำสถานีชาร์จไฟฟ้าก็รับประโยชน์ไปด้วย เช่น ChargePoint และ Blink Charging ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 19% และ 11% ตามลำดับ เช่นเดียวกับบริษัท Climate Real Impact Solutions ที่ทำธุรกิจด้านพลังงานสะอาดและลดการปล่อยคาร์บอน ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น 10.48%
อย่างไรก็ตามราคาหุ้นบริษัทรถยนต์ขนาดใหญ่ที่มีแผนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง GM, Ford และ Volkswagen ต่างปรับตัวลงในระดับ 1.7%-3.8%
อ่านต่อเรื่อง ทำไมเจ้าใหญ่ในตลาด “รถยนต์ไฟฟ้า” อาจไม่ใช่ Tesla ?
จากความเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในวันที่มีการเปิดเผยแผนการลงทุน แน่นอนว่าหุ้นในกลุ่มโครงสร้างพื้นฐาน พลังงานหมุนเวียน และรถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับผลดีจากแผนการลงทุนนี้ต่อไปในช่วงเวลาต่อจากนี้
แต่พี่ทุยมองว่าไม่ใช่ทุกบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากแผนการลงทุนนี้ ที่ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่น แต่จะมีเพียงบริษัทซึ่งเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้นที่มีได้รับผลดีจากแผนการลงทุนครั้งนี้สร้างความแข็งแกร่งให้บริษัทอย่างโดดเด่นเหนือบริษัทอื่นอย่างชัดเจน..