ในสหรัฐอเมริกา amazon คือผู้นำในอุตสาหกรรมค้าปลีกแห่งยุคดิจิทัล แต่เมื่อพูดถึงราชาแห่งห้างค้าปลีกแบบดั้งเดิม คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “Walmart” แม้ amazon จะก่อตั้งหลังจาก Walmart ถึง 32 ปี แต่ด้วยธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมกับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี จึงทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว พี่ทุยจะพามาส่อง ตัวเลขรายได้ และรายละเอียดเกี่ยวกับทั้งสองบริษัทคู่แข่งยักษ์ใหญ่นี้กัน
ปัจจุบัน Walmart มีมูลค่าตลาดประมาณ 3.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 9.9 ล้านล้านบาท ขณะที่ amazon มีมูลค่าตลาดประมาณ 9.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 28 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่า Walmart เกือบ 3 เท่าตัว! ในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิ 12 เดือนหลังสุด Walmart มีรายได้รวม 5.21 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีกำไรจากการดำเนินงาน 2.13 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วน amazon มีรายได้รวม 2.65 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีกำไรสุทธิ 1.44 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
จะเห็นว่าเมื่อวัดเป็นตัวเงินแล้ว วอลมาร์ต ก็ยังคงเป็นบริษัทที่ทำกำไรแข่งขันกับ amazon ได้อย่างไม่น่าเกลียด เพียงแต่ความสามารถในการทำกำไรของ amazon ดูเหมือนจะทำได้ดีกว่า จากอัตรากำไรสุทธิ 4.27% เทียบกับ วอลมาร์ต ที่ 2.77%
อย่างไรก็ตาม กระแสของโลกที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พร้อม ๆ กับพฤติกรรมผู้บริโภคที่วิ่งเข้าสู่การซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น ทำให้ amazon ซึ่งเริ่มต้นด้วยการเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่สามารถครองส่วนแบ่งยอดขายออนไลน์ในสหรัฐฯ ได้ถึง 48% ขณะที่ วอลมาร์ต รั้งอยู่อันดับ 3 ทำได้เพียง 4% เท่านั้น! ส่วนอันดับ 2 คือ eBay ครองส่วนแบ่ง 7.2% การถูก Disrupt ด้วยเทคโนโลยีทำให้ วอลมาร์ต ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ยักษ์ใหญ่ที่เคยครองตลาดค้าปลีกทั่วทั้งสหรัฐฯ จำเป็นต้องเริ่มปรับตัวและปรับธุรกิจให้เข้ากับเทคโนโลยีมากขึ้น
ที่ผ่านมา วอลมาร์ต เข้าซื้อแพลทฟอร์ม E-commerce หลายแห่งเพื่อยกระดับตัวเองขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น Bonobos, Moosejaw, ModCloth รวมทั้ง Jet.com ซึ่งบริษัทใช้เงินลงทุนถึง 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะเดียวกันบริษัทยังได้เข้าซื้อธุรกิจ Start-up หลายแห่งเพื่อเข้ามาเสริมความแข่งแกร่ง อาทิ Aspectiva เข้ามาช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และ Polymorph labs เพื่อพัฒนาด้านโฆษณา แม้แพลทฟอร์มของ Walmart แต่ละตัวจะไม่ได้เป็นช่องทาง E-commerce ที่มีเชื่อเสียงระดับโลกเทียบเท่ากับ amazon จริง ๆ แล้วจะออกไปทางเฉพาะกลุ่มมากกว่า แต่สิ่งที่ วอลมาร์ต ต้องการมากไปกว่ายอดขายสินค้าจากช่องทางเหล่านี้คือ ฐานของผู้ใช้งานรวมของบริษัท ยิ่งมีจำนวนผู้ใช้งานมากเท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่จะขายโฆษณาได้มากขึ้น พร้อม ๆ ไปกับการขายสินค้า
ในปี 2018 รายได้รวมจากการโฆษณาของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่ที่ 2.08 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย 50% มาจากการโฆษณาออนไลน์ ซึ่ง Facebook กับ Google ครองส่วนแบ่งอยู่มากกว่าครึ่งหนึ่ง ส่วน amazon ที่ขึ้นมาเป็นเบอร์ 3 ของแพลทฟอร์มโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ นั้น ก็ยังมีสัดส่วนเพียง 5.5% เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลของ Feedvisor ระบุว่า 74% ของผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสินค้าใดสินค้าหนึ่ง มีแนวโน้มที่จะเข้าไปเลือกซื้อผ่าน amazon โดยตรง แทนที่จะค้นหาผ่าน Google หรือ Facebook ก่อน วอลมาร์ตเองก็เห็นโอกาสในจุดนี้เช่นกัน และพยายามที่จะพัฒนาเว็บไซต์ให้ครบวงจรมากขึ้น บริษัทได้นำสินค้าและบริการเสริมอื่น ๆ เข้ามาไว้บน Walmart.com อาทิ Lord & Taylor, Fanaticsm รวมถึง Advance Auto Parts
แม้ว่ารายได้จากโฆษณาของเขาจะยังเป็นเพียง ‘รายได้อื่น’ และยังมีสัดส่วนที่เล็กมากจากรายได้รวมกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่จุดแข็งที่ทำให้บริษัทสามารถต่อยอดได้อย่างรวดเร็วคือจำนวนฐานลูกค้าในมือ ข้อมูลจาก Reuters คาดการณ์ว่าทุก ๆ เดือนจะมีลูกค้าเข้าไปซื้อสินค้าที่สาขาของวอลมาร์ต กว่า 300 ล้านคน และอีกหลายล้านคนซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ ไม่เพียงแค่การพัฒนาในด้านแพลทฟอร์มออนไลน์วอลมาร์ต ยังพยายามที่จะต่อสู้กับ amazon ทางด้านโลจิสติกส์ด้วยเช่นกัน
เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมาวอลมาร์ตเริ่มต้นเสนอบริการจัดส่งสินค้ามากถึง 2.2 แสนรายการ ซึ่งเป็นสินค้าที่ขายดีของบริษัท ไล่ตั้งแต่ผงซักฟอก ของเด็กเล่น ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยสินค้าเหล่านี้ วอลมาร์ตจะจัดส่งให้ภายใน 1 วัน
ในฐานะผู้ที่เคยครองบัลลังก์ตลาดค้าปลีกของสหรัฐฯ Walmart น่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ค่อนข้างน่ากลัว amazon คงไม่สามารถประมาทได้ แม้ประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีของ amazon จะเหนือกว่ามาก แต่ด้วยเงินทุนและฐานลูกค้าในมือ เชื่อว่าน่าจะเป็นคู่ชกที่สมน้ำสมเนื้อกับ amazon ได้ไม่ยาก
Comment