เมื่อ "Walmart" ลุกขึ้นมาท้าชน Amazon

เมื่อ “Walmart” ลุกขึ้นมาท้าชน Amazon

3 min read  

ฉบับย่อ

  • ปัจจุบัน Walmart มีมูลค่าตลาดประมาณ 3.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 9.9 ล้านล้านบาท ขณะที่ amazon มีมูลค่าตลาดประมาณ 9.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 28 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่า Walmart เกือบ 3 เท่าตัว
  • Walmart ก็ยังคงเป็นบริษัทที่ทำกำไรแข่งขันกับ amazon ได้อย่างไม่น่าเกลียด เพียงแต่ความสามารถในการทำกำไรของ amazon ดูเหมือนจะทำได้ดีกว่า จากอัตรากำไรสุทธิ 4.27% เทียบกับ Walmart ที่ 2.77%
  • Walmart น่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ค่อนข้างน่ากลัว amazon คงไม่สามารถประมาทได้ แม้ประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีของ amazon จะเหนือกว่ามาก แต่ด้วยเงินทุนและฐานลูกค้าในมือ เชื่อว่าน่าจะเป็นคู่ชกที่สมน้ำสมเนื้อกับ amazon ได้ไม่ยาก

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ในสหรัฐอเมริกา amazon คือผู้นำในอุตสาหกรรมค้าปลีกแห่งยุคดิจิทัล แต่เมื่อพูดถึงราชาแห่งห้างค้าปลีกแบบดั้งเดิม คงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก “Walmart” แม้ amazon จะก่อตั้งหลังจาก Walmart ถึง 32 ปี แต่ด้วยธุรกิจที่เติบโตไปพร้อมกับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยี จึงทำให้บริษัทเติบโตอย่างรวดเร็ว พี่ทุยจะพามาส่อง ตัวเลขรายได้ และรายละเอียดเกี่ยวกับทั้งสองบริษัทคู่แข่งยักษ์ใหญ่นี้กัน

ปัจจุบัน Walmart มีมูลค่าตลาดประมาณ 3.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 9.9 ล้านล้านบาท ขณะที่ amazon มีมูลค่าตลาดประมาณ 9.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 28 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่า Walmart เกือบ 3 เท่าตัว! ในแง่ของรายได้และกำไรสุทธิ 12 เดือนหลังสุด Walmart มีรายได้รวม 5.21 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีกำไรจากการดำเนินงาน 2.13 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่วน amazon มีรายได้รวม 2.65 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และมีกำไรสุทธิ 1.44 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

จะเห็นว่าเมื่อวัดเป็นตัวเงินแล้ว วอลมาร์ต ก็ยังคงเป็นบริษัทที่ทำกำไรแข่งขันกับ amazon ได้อย่างไม่น่าเกลียด เพียงแต่ความสามารถในการทำกำไรของ amazon ดูเหมือนจะทำได้ดีกว่า จากอัตรากำไรสุทธิ 4.27% เทียบกับ วอลมาร์ต ที่ 2.77%

อย่างไรก็ตาม กระแสของโลกที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว พร้อม ๆ กับพฤติกรรมผู้บริโภคที่วิ่งเข้าสู่การซื้อสินค้าผ่านออนไลน์มากขึ้น ทำให้ amazon ซึ่งเริ่มต้นด้วยการเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่สามารถครองส่วนแบ่งยอดขายออนไลน์ในสหรัฐฯ ได้ถึง 48% ขณะที่ วอลมาร์ต รั้งอยู่อันดับ 3 ทำได้เพียง 4% เท่านั้น! ส่วนอันดับ 2 คือ eBay ครองส่วนแบ่ง 7.2% การถูก Disrupt ด้วยเทคโนโลยีทำให้ วอลมาร์ต ไม่สามารถนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ยักษ์ใหญ่ที่เคยครองตลาดค้าปลีกทั่วทั้งสหรัฐฯ จำเป็นต้องเริ่มปรับตัวและปรับธุรกิจให้เข้ากับเทคโนโลยีมากขึ้น

ที่ผ่านมา วอลมาร์ต เข้าซื้อแพลทฟอร์ม E-commerce หลายแห่งเพื่อยกระดับตัวเองขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น Bonobos, Moosejaw, ModCloth รวมทั้ง Jet.com ซึ่งบริษัทใช้เงินลงทุนถึง 3.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขณะเดียวกันบริษัทยังได้เข้าซื้อธุรกิจ Start-up หลายแห่งเพื่อเข้ามาเสริมความแข่งแกร่ง อาทิ Aspectiva เข้ามาช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมผู้บริโภค และ Polymorph labs เพื่อพัฒนาด้านโฆษณา แม้แพลทฟอร์มของ Walmart แต่ละตัวจะไม่ได้เป็นช่องทาง E-commerce ที่มีเชื่อเสียงระดับโลกเทียบเท่ากับ amazon จริง ๆ แล้วจะออกไปทางเฉพาะกลุ่มมากกว่า แต่สิ่งที่ วอลมาร์ต ต้องการมากไปกว่ายอดขายสินค้าจากช่องทางเหล่านี้คือ ฐานของผู้ใช้งานรวมของบริษัท ยิ่งมีจำนวนผู้ใช้งานมากเท่าไหร่ ก็มีโอกาสที่จะขายโฆษณาได้มากขึ้น พร้อม ๆ ไปกับการขายสินค้า

ในปี 2018 รายได้รวมจากการโฆษณาของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่ที่ 2.08 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดย 50% มาจากการโฆษณาออนไลน์ ซึ่ง Facebook กับ Google ครองส่วนแบ่งอยู่มากกว่าครึ่งหนึ่ง ส่วน amazon ที่ขึ้นมาเป็นเบอร์ 3 ของแพลทฟอร์มโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ นั้น ก็ยังมีสัดส่วนเพียง 5.5% เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลของ Feedvisor ระบุว่า 74% ของผู้บริโภคที่ต้องการซื้อสินค้าใดสินค้าหนึ่ง มีแนวโน้มที่จะเข้าไปเลือกซื้อผ่าน amazon โดยตรง แทนที่จะค้นหาผ่าน Google หรือ Facebook ก่อน วอลมาร์ตเองก็เห็นโอกาสในจุดนี้เช่นกัน และพยายามที่จะพัฒนาเว็บไซต์ให้ครบวงจรมากขึ้น บริษัทได้นำสินค้าและบริการเสริมอื่น ๆ เข้ามาไว้บน Walmart.com อาทิ Lord & Taylor, Fanaticsm รวมถึง Advance Auto Parts

แม้ว่ารายได้จากโฆษณาของเขาจะยังเป็นเพียง ‘รายได้อื่น’ และยังมีสัดส่วนที่เล็กมากจากรายได้รวมกว่า 5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ แต่จุดแข็งที่ทำให้บริษัทสามารถต่อยอดได้อย่างรวดเร็วคือจำนวนฐานลูกค้าในมือ ข้อมูลจาก Reuters คาดการณ์ว่าทุก ๆ เดือนจะมีลูกค้าเข้าไปซื้อสินค้าที่สาขาของวอลมาร์ต กว่า 300 ล้านคน และอีกหลายล้านคนซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ ไม่เพียงแค่การพัฒนาในด้านแพลทฟอร์มออนไลน์วอลมาร์ต ยังพยายามที่จะต่อสู้กับ amazon ทางด้านโลจิสติกส์ด้วยเช่นกัน

เมื่อปี 2019 ที่ผ่านมาวอลมาร์ตเริ่มต้นเสนอบริการจัดส่งสินค้ามากถึง 2.2 แสนรายการ ซึ่งเป็นสินค้าที่ขายดีของบริษัท ไล่ตั้งแต่ผงซักฟอก ของเด็กเล่น ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยสินค้าเหล่านี้ วอลมาร์ตจะจัดส่งให้ภายใน 1 วัน

ในฐานะผู้ที่เคยครองบัลลังก์ตลาดค้าปลีกของสหรัฐฯ Walmart น่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่ค่อนข้างน่ากลัว amazon คงไม่สามารถประมาทได้ แม้ประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีของ amazon จะเหนือกว่ามาก แต่ด้วยเงินทุนและฐานลูกค้าในมือ เชื่อว่าน่าจะเป็นคู่ชกที่สมน้ำสมเนื้อกับ amazon ได้ไม่ยาก

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย

Comment

Be the first one who leave the comment.

Leave a Reply