มาตรการร้อนแบงก์ชาติ ต้องใช้ "เงินดาวน์" บ้านมากขึ้น

มาตรการร้อนแบงก์ชาติ ต้องใช้ “เงินดาวน์” บ้านมากขึ้น

 

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

ช่วงที่ผ่านมานี้คนที่กำลังจะซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม ไม่ว่าจะเพื่อลงทุนก็ดีหรือว่าเพื่ออยู่อาศัยก็ดีจะต้องได้ยินข่าวเรื่อง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการปรับ “เกณฑ์กำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่” ผ่านหูผ่านตากันมาบ้างแน่ๆ ประเด็นหลักๆที่ทาง ธปท. ปรับก็คือเรื่อง “เงินดาวน์” ให้มีการวางเงินดาวน์ที่สูงขึ้น

รายละเอียดของ “เกณฑ์กำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยใหม่”

ในกรณีที่ซื้อบ้าน คอนโด หรือทาวน์เฮาส์ที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท
กรณี 1 ถ้าเรากู้ซื้อบ้านหลังแรก จะต้องดาวน์ 0-10% เหมือนเดิม
กรณี 2 ถ้าเรากู้ซื้อบ้านหลังที่ 2
– จะต้องวางเงินดาวน์ 10% ถ้าหากผ่อนบ้านหลังแรกมาแล้วเกิน 3 ปี
– แต่ถ้าหลังแรกผ่อนยังไม่ถึง 3 ปี ต้องวางเงินดาวน์เพิ่มเป็น 20%
กรณี 3 ถ้าเรากู้ซื้อหลังที่ 3 ขึ้นไป ต้องวางเงินดาวน์อย่างน้อย 30%

ยกตัวอย่างง่ายๆ สมมติว่าเราวางแผนจะซื้อคอนโด เดอะ เบส การ์เดน-พระราม 9 ราคา 2.69 ล้านบาท และเราผ่อนบ้านหลังแรกมาแล้ว 4 ปี นั่นหมายความว่า เราจะต้องเตรียมเงินเพื่อดาวน์คอนโดเป็นเงิน 269,000 บาท และกู้ได้ 2.42 ล้านบาทโดยประมาณ

ในกรณีที่ซื้อบ้าน คอนโด หรือทาวน์เฮาส์ที่มีราคาสูงกว่า 10 ล้านบาท
กรณี 1 ถ้าเรากู้ซื้อบ้านหลังแรก หรือหลังที่ 2 จะต้องดาวน์ 20%
กรณี 2 ถ้าเรากู้ซื้อบ้านหลังที่ 3 จะต้องวางเงินดาวน์อย่างน้อย 30%

สมมติว่าเราอยากซื้อบ้านโครงการ เศรษฐสิริ ปิ่นเกล้า – กาญจนาฯ ราคา 15 ล้านบาทเป็นหลังแรก เราจะต้องมีเงินดาวน์ 3 ล้านบาท และจะสามารถกู้ได้สูงสุด 12 ล้านบาท

นอกจากนี้ก็ยังมีการให้นับรวมสินเชื่อใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (สินเชื่อ Top-up) ในวงเงินที่ขอกู้เดียวกัน โดยมีกำหนดจะเริ่มใช้กับคนที่ทำสัญญากู้หลังวันที่ 1 เมษายน 2562 เป็นต้นไป แต่สำหรับคนที่ทำสัญญาจะซื้อจะขายก่อน 15 ตุลาคม 2561 แม้จะกู้หรือโอนหลังจากวันที่ 1 เมษายน 2562 ก็ยังได้รับการยกเว้นอยู่

แล้วการออกมาตรการใหม่มาแบบนี้ใครได้ประโยชน์บ้าง ?

จากที่พี่ทุยอ่านคอมเมนท์หลายๆ ที่ กระแสที่ออกมาไปทางด้านลบซะเยอะ แน่นอนว่ามาตรการนี้ทำให้ผู้บริโภคแบบเราๆ เนี้ยกู้ซื้อบ้านยากขึ้น เพราะต้องหาเงินมาวางดาวน์มากขึ้น หากใครที่ยังไม่มีเงินเก็บมากพอ ก็ต้องรีบซื้อโครงการบ้าน คอนโด หรือทาวน์เฮาส์ที่พร้อมโอนก่อนวันที่ 1 เมษายนปีหน้า แต่พี่ทุยอยากให้มองอีกด้านนึงก็คือเรื่องของ “ความเสี่ยง” การที่เราวางเงินดาวน์มากขึ้น ก็แปลว่า เงินต้นที่เราต้องผ่อนก็จะน้อยลงด้วย นั่นแปลว่าภาระเราก็จะน้อยลงด้วยในระยะยาว เพราะปัญหาเรื่องกู้แล้วผ่อนไม่ไหวก็มาจากที่เราวางเงินดาวน์น้อย แล้วทำให้วงเงินกู้เยอะ พอวงเงินกู้เยอะก็ผ่อนเยอะ ก็จะเป็นภาระที่หนักในแต่ละเดือนไปด้วย

สรุปข้อดีของมาตรการใหม่
1. คนที่ซื้อเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยจริงๆ ไม่ใช่เพื่อการลงทุน จะได้ซื้อบ้านในราคาที่เหมาะสมมากขึ้น เพราะความต้องซื้อจากการลงทุนจะลดน้อยลงจากการที่ต้องวางเงินดาวน์มากขึ้น
2. ในมุมคนที่ซื้อเพื่อลงทุนและผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์จะลดความเสี่ยงจากการเจอสภาวะฟองสบู่ได้
3. แม้แต่ในมุมของสถาบันการเงินก็จะได้คุณภาพของสินเชื่อที่ดีมากขึ้น ในภาพรวมประเทศเราก็จะมีเสถียรภาพที่ดีมากขึ้นตามไปด้วย

แต่ถ้าอยากซื้อก่อนมาตรการใหม่ออกมา มีทางเลือกไหนที่น่าสนใจ ?

แน่นอนว่าก่อนวันที่ 1 เมษายน 2562 ถ้าเราทำสัญญากู้ก็ยังได้เงื่อนไขเดิมอยู่ ซึ่งทาง “แสนสิริ” มีโปรโมชั่นแรงๆ เสิร์ฟกันร้อนๆ ก่อนปรับมาตรการใหม่มาให้คนที่มีแผนจะซื้ออยู่แล้วตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น

– ฟรีค่าส่วนกลางยาวๆ ไปเลย 8 ปี*
– ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน*
– ฟรีค่าจดจำนอง*
– ส่วนลดสูงสุด 5 ล้านบาท*
– ดอกเบี้ยต่ำเพียง 0.88% นาน 2 ปี*
*หมายเหตุ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ที่นี่

เท่านี้ยังไม่พอ ยังมีโครงการบ้านมาตรการร้อนแบงก์ชาติ ต้องใช้เงินดาวน์บ้านมากขึ้นเดี่ยว คอนโด และทาวน์เฮาส์ให้เลือกกว่า 40 โครงการทั่วประเทศ

พี่ทุยแอบกระซิบต่อว่า ในแต่ละโครงการที่ร่วมรายการนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษแยกต่างหากมากมายอีกด้วย ใครที่มีแผนซื้อบ้านหรือดูไว้อยู่แล้ว แนะนำว่าเข้าไปถามที่โครงการได้เลย หรือลองเลือกและอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลย คลิกที่นี่

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย
บทความนี้เป็นบทความ Advertorial