พี่ทุยว่าสมัยนี้คนเราเสพติด คำว่า “รวย” แล้วก็เที่ยวพูดกับตัวเองตลอดว่า “เมื่อไหร่จะรวย” เรียกได้ว่า เวลาไปไหว้พระที่ไหนก็จะขอให้รวยกันท่าเดียว
พอไหว้พระเสร็จปุ๊ป ก็หันมาถามตัวเองว่า “เมื่อไหร่จะรวย”
แล้วเคยถามตัวเองมั้ยว่า 1 ล้าน 10 ล้าน หรือ 100 ล้าน แค่ไหนถึงจะเรียกว่า “รวย” ได้สักที ?
พี่ทุยจะบอกว่าถ้าหากเรามองเป็นตัวเลขเท่าไหร่ก็ไม่พอหรอก มีมากก็อยากมีมากขึ้นไปอีก ก็คนเราน่ะมันโลภ ! ให้ลองนึกว่าในอดีตเราต้องเคยคิดว่าถ้าเรามีรายได้แบบนั้นแบบนี้เราจะมีความสุข เราจะรวย สุดท้ายพอได้มาก็ไม่รู้สึกพอสักที
คำว่า “รวย” จริง ๆ แล้วสำหรับพี่ทุยอยากให้มองว่า คนที่มี “รายรับ” มากกว่า “รายจ่าย” ในทุก ๆ เดือนแค่นี้ก็รวยแล้ว เพราะไม่อดอยาก ไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินใคร
แปลว่าจริง ๆ แล้ว ถ้าเราควบคุมรายจ่าย โอกาสที่จะรวยก็เป็นของทุกคน แต่นอกจากรายจ่ายที่เราต้องควบคุม แหล่งรายได้ก็สำคัญไม่แพ้กัน เราแบ่งที่มาของรายได้ง่ายๆ ได้ 2 ช่องทาง คือ
1. Active Income คือ รายได้จากการใช้เวลาแลกเงิน ไม่ทำงานไม่ได้เงิน
2. Passive Income คือ รายได้จากการให้เงินทำงานแทนเรา
แต่ก็ไม่ใช่ให้เงินไปแบกข้าวสาร หรือฝากซื้อโอเลี้ยง (ตลกไปใหญ่ล่ะ) แต่มันคือ การถือครองสินทรัพย์นั่นเอง เช่น เงินปันผล ดอกเบี้ย ฯลฯ
คำถามที่ว่า “เมื่อไหร่จะรวย” ก็เมื่อเรามีรายได้ทั้งที่เป็น Active + Passive Income แล้วมากกว่ารายจ่าย พี่ทุยก็ถือว่าใช้ได้แล้วละนะ
แต่ถ้าจะให้รวยแบบไม่รู้จะเอาเงินไปเก็บไว้ตรงไหนแล้วล่ะก็ ต้องมีรายได้แบบ Passive Income มากกว่ารายจ่าย แบบนั้นแหละ เค้าเรียกกันแบบที่คนสมัยนี้อยากจะเป็นเลยคือ “อิสรภาพทางการเงิน” ยังไงล่ะ ยู้ววววฮู้วววววว !!
เชื่อพี่ทุยเถอะ ไม่ใช่ฝันกลางวันแน่ ๆ ถ้าอยากจะมี “อิสรภาพทางการเงิน” (Financial Freedom) ใคร ๆ ก็มีได้ถ้ารู้จักลงทุนและออมเงิน แต่หลายคนไม่ยอมทำกันน่ะสิ นี่แหละปัญหา
สุดท้ายพี่ทุยฝากไว้ว่าอย่าเอาแต่ถามตัวเองว่า “เมื่อไหร่จะรวย” แต่ให้ถามตัวเองว่า “ความรวย” ของเราคืออะไรให้ชัดก่อนนั้นแหละดีที่สุด เพราะถ้าตอบไม่ได้เราก็จะไม่มีทางรวยแล้วเราก็จะอยู่กับคำถามที่ “เมื่อไหร่จะรวย” ไปตลอดชีวิต…
แต่จริง ๆ ถ้าใครรวยแบบไม่รู้จะเอาเงินเก็บไว้ตรงไหนแล้วละก็.. มาฝากกับพี่ทุยได้นะ แต่ไม่ต้องมารับคืนนะ เพราะพี่ทุยไม่อยู่ให้ทวงหรอก ฮรี่ฮรี่