เชื่อว่าทุกคนน่าจะได้เห็นข่าวเกี่ยวกับ “1MDB” กัน เพราะถูกแชร์กันว่อนให้ทั่วโซเชียลเลย หลังจากที่พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบและ ช่อ-พรรณิการ์ วานิช ได้ออกมาอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลนอกสภาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศมาเลเซียผ่านกองทุน “1MDB” ซึ่งพี่ทุยได้เล่าเรื่องนี้ไว้อย่างละเอียดแล้ว เข้าไปอ่านได้ที่ “1MDB” อาชญากรรมฟอกเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก
พี่ทุยขอทวนสั้น ๆ เผื่อว่าใครลืมไป “1MDB” ย่อมาจาก “1 Malaysia Development Berhad” ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ จัดตั้งโดยนายกรัฐมนตรีสมัยนั้นที่ชื่อว่า นาจิบ ราซัก (Najib Razak) ก่อตั้งมาในปี 2009 ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันเศรษฐกิจของประเทศมาเลเซีย อยากให้กัวลาลัมเปอร์เป็นศูนย์กลางทางการเงินของเอเชียอะไรทำนองนี้ แต่เรื่องก็เริ่มมีกลิ่นตุ ๆ เมื่อปี 2015 ที่กองทุนเริ่มผิดนัดชำระหนี้จำนวน 1.1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ และผลการดำเนินการใน 6 ปีที่ผ่านมาขาดทุนไปทั้งสิ้น 3.3 แสนล้านบาท!
ทายสิว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้ามีคนมายืมเงินเรา 3,700 เเล้วเบี้ยวเราก็คงเคืองแล้ว แต่นี่ 3.3 แสนล้านบาท พอเจ้าหนี้รู้ตัวว่า “อ่าวเฮ้ย… ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า” ก็เกิดการขุดคุ้ยเเละสืบสาวกันยาว ๆ ไป
เงินของกองทุน “1MDB” กระจายไปทั่วโลกและเกี่ยวพันโยงใยไปถึง 10 ประเทศ นอกจากมาเลเซียแล้วยังมีออสเตรเลีย ฮ่องกง อินโดนีเซีย ลักเซมเบิร์ก เซเชลส์ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
เมื่อรู้เรื่องกันคร่าว ๆ แล้ว บางคนก็อาจสงสัยขึ้นมาว่า “แล้วเรื่องกองทุน “1MDB” ไปเกี่ยวกับหนังฝรั่งที่มี Leonardo DiCaprio นำแสดงได้อย่างไรกันเนี่ย มันดูเป็นเรื่องคนละซีกโลกกันเลย” มาเริ่มกันเลย พี่ทุยขอแนะนำให้รู้จักตัวละคร 3 คนที่จะเป็นตัวดำเนินเรื่องของเราในวันนี้นะ
1. อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศมาเลเซียและประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาของกองทุน “1MDB” เค้าคนนี้ชื่อว่า นาจิบ ราซัก (Najib Razak) มีภรรยาชื่อ โรสมาห์ มานซอว์ (Rosmah Mansor)
2. โจโลว์ หรือ โล แท็ก โจ (Low Taek Jho เป็นนักธุรกิจจากปีนัง ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทเรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกันกับ ราซี อาซิซ (Razi Aziz) และเป็นคนสนิทของ นาจิบ ราซัก
3. ราซี อาซิซ (Razi Aziz) เป็นลูกบุญธรรมของ นาจิบ ราซัก ตัวละครในข้อ 1 และเป็นเพื่อนสนิทของโจ โลว์ตัวละครในข้อ 2 เค้าคนนี้เป็นโปรดิวเซอร์ของภาพยนตร์เรื่อง The Wolf of Wallstreet และเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทเรด แกรนิต พิกเจอร์ (Red Granite Pictures)
“The Wolf of Wallstreet” หรือในชื่อภาษาไทยว่า “คนจะรวยช่วยไม่ได้” เป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่ออกฉายในปี 2013 และกวาดรายได้รวมทั่วโลกไป 392 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากทุนสร้างราว 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายใต้ผลงานกำกับ Martin Scorsese และนำแสดงแสดงโดย ลีโอนาร์โด ดิคาเปรโอ้ (Leonardo DiCaprio) ด้วยบทบาทนี้เลยส่งให้เขาเข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมและหนังเข้าชิงอีก 4 รางวัล นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังได้เข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง 5 สาขาด้วย
นอกจากจะกวาดรายได้ไปได้ถึง 392 ล้านเหรียญทั่วโลก ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ยังประสบความสําเร็จหลังลาจอไป ทุกครั้งที่พี่ทุยเห็นกระทู้รวบรวมแนะนำภาพยนตร์ที่เกี่ยวกับการเงินการลงทุน ภาพยนตร์เรื่องนี้จะติดโผอยู่ทุกครั้งไป
The Wolf of Wallstreet เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับการหาเงินที่ไม่ค่อยสุจริตนัก ที่สร้างมาจากเรื่องจริงของโบรคเกอร์คนนึงที่ชื่อว่า จอร์แดน เบลฟอร์ (Jordan Belfort) ทำหน้าที่ไม่ซื่อ ยักยอกเงินจากเหล่านักลงทุนใน Wallstreet เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง บุคคลนี้มีตัวตนอยู่จริงและยังมีชีวิตอยู่ด้วย ถ้าสนใจก็ไปค้นหาเพิ่มเติมและดูภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ แอบกระซิบว่ามีใน NETFLIX ด้วยนะ
ความเกี่ยวข้องของปมทุจริตกองทุน “1MDB” และหนังเรื่อง The Wolf of Wallstreet
เรื่องนี้เกิดจากการที่มีการสืบพบว่าอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซัก เอาเงินออกจากกองทุน “1MDB” และหย่อนเข้ากระเป๋าตัวเองไปประมาณ 681 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เงินจำนวนนี้ส่วนนึงถูกนำเอาไปกับความสุขส่วนตัวของเค้าและภรรยา โรสมาห์ มานซอว์ ก็เลยตกที่นั่งลำบากไปอีกคนในคดีนี้
ต่อมา นาจิบ ราซัก ก็โอนเงินจำนวนหนึ่งไปให้ ราซี อาซิซ ผ่านธนาคารของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และ ราซี อาซิซ ก็ได้โอนเงินหลายจำนวนอยู่ในช่วงตั้งแต่ หลักล้านไปจนถึงหลักร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ ไปยังบัญชีธนาคารของบริษัทสร้างภาพยนตร์ Red Granite อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งจริง ๆ แล้ว บริษัท Red Granite ก็สร้างหนังหลายเรื่องนะในปีเดียวกัน เช่น Out of the Furnace ของผู้กำกับ Scott Cooper และ Horns ของผู้กำกับ Alexandre Aja ที่นำแสดงโดยแดเนียล แรฟคลิฟ (Daniel Radcliffe)
แต่ที่ The Wolf of Wallstreet โดนเพ่งเล็งเป็นพิเศษก็เพราะว่า ศาลมาเลเซียได้เปิดเผยเอกสารของเดือนกันยายน 2012 ที่ระบุว่ามีการโอนเงินจำนวน 9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากบริษัท Good Star ของโจโลว์ไปที่บัญชีของบริษัท Red Granite แถมระบุด้วยว่าเป็นค่าสร้างหนังเรื่อง The Wolf of wallstreet ล่วงหน้า ซึ่งที่มาของเงินในการสร้างกลับสร้างความสงสัยเมื่อสื่อท้องถิ่นขุดคุ้ยเจอว่า บริษัท Red Granite บอกว่าที่มาของทุนสร้างมาจากบริษัท Low’s Good Star ของโจโลว์ ยิ่งทำให้สงสัยได้ว่าจะเป็นการฟอกเงิน
เรื่องนี้ส่งผลให้ ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ ต้องขึ้นศาลด้วย ซึ่งเค้าก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เพราะลีโอนาร์โด เคยได้รับของขวัญหรูหราหลายอย่างจากโจโลว์ (ซึ่งคืนไปหมดแล้ว) เช่น ภาพเขียนของ ปิกาโซ (Pablo Picasso) มูลค่ากว่า 3.28 ล้านเหรียญสหรัฐฯ งานศิลปะผลงานของ “ฌอง-มิเชล บาสเคียต” มูลค่า 9.19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และรางวัลออสการ์ของ มาร์ลอน แบรนโด จากภาพยนตร์เรื่อง “ออน เดอะ วอเตอร์ฟรอนท์” (On the Waterfront)
โจโลว์ ได้พยายามเข้าไปตีสนิทกับ ลีโอนาร์โด หลายครั้ง ด้วยการชักชวนให้ลีโอนาร์โดมาเล่นพนันในคาสิโนของเค้าที่ลาสเวกัส และผู้ที่แนะนำให้ทั้งสองรู้จักกันก็คือ “ราซี อาซิซ” ซึ่งมีรายงานว่า ลีโอนาร์โดพูดขอบคุณโจโลว์ตอนที่ได้รับรางวัลสาขานักแสดงนำชายด้วย
เมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ ลีโอนาร์โด ดิแคพรีโอ ก็เลยถูกเรียกเข้าไปสอบสวน และเค้าก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ส่วนราซี อาซิซเองก็เพิ่งขึ้นศาลและขอประกันตัวไปด้วยวงเงิน 1 ล้านริงกิตหรือประมาณ 2.4 แสนเหรียญสหรัฐฯ
เรื่องสองเรื่องที่อยู่คนละซีกโลกกันถึงมาเชื่อมโยงกันได้ด้วยประการนี้ ไม่ว่าจะเป็นในหนังหรือชีวิตจริงเรื่องเงินก็ไม่เคยเข้าใครออกใครเลยนะ คิด ๆ ดูแล้วก็ตลกร้ายเหมือนกัน กับการที่หนังมีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการโกงเงินนั้นเกี่ยวพันกับคดีฟอกเงินครั้งใหญ่ของจริง
Comment