RS ปรับกลยุทธ์สู้ หันมาทำธุรกิจสุขภาพและความงาม

RS ปรับกลยุทธ์สู้ หันมาทำธุรกิจสุขภาพและความงาม

4 min read  

ฉบับย่อ

  • องค์กรที่ยิ่งใหญ่นี้เริ่มต้นจากการทำธุรกิจตู้เพลงภายใต้ชื่อ บริษัท “Rose Sound” แผ่นเสียงลงเทป แล้วจึงเปลี่ยนหันมาทำค่ายเพลงวัยรุ่นชื่อ “บริษัท อาร์.เอส.ซาวด์ จำกัด” ในปี 2525
  • จนในปัจจุบันมีการทำธุรกิจภายใต้ชื่อ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) แต่ก็ถูกกระแสความเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัลอย่างมากมาย จึงได้เปลี่ยน Business Model ใหม่ในแนวคิด “ทำธุรกิจใหม่ไร้กรอบ” (Beyond the Limit)
  • การทำธุรกิจของ RS ทำให้เราเรียนรู้ได้ว่าเราไม่ควรยึดติดความสำเร็จในอดีต หากวันนี้ RS ไม่ยอมปรับตัวและมัวหารายได้จากแค่บริษัทเพลง ก็คงไม่สามารถนำพาบริษัทกลับมาทำเงินได้แบบในปัจจุบัน

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile

หลายคนคงเคยได้ยินเพลงฮิตมากมายคุ้นหูจากค่ายเพลงที่ชื่อว่า RS จากเหล่าศิลปินชื่อดังไม่ว่าจะเป็น โฟร์-มด ลิฟท์-ออย D2B อนัน อันวา และอีกมากมายในวงการเพลง แต่ใครจะไปคิดว่าวันนี้ RS จะหันมาจับธุรกิจ “ความงาม” ที่แตกต่างจากธุรกิจเดิมแบบสุดขั้ว

หากย้อนกลับไปดูเส้นทางธุรกิจของ “เฮียฮ้อ” ก่อนจะกลายมาเป็นผู้ก่อตั้ง RS องค์กรที่ยิ่งใหญ่นี้ จะเห็นว่าจุดเริ่มต้นนั้น คือ บริษัท “Rose Sound” ธุรกิจตู้เพลง แผ่นเสียงลงเทปแล้วจึงเปลี่ยนหันมาทำค่ายเพลงวัยรุ่นชื่อ “บริษัท อาร์.เอส.ซาวด์ จำกัด” ในปี 2525

กาลเวลาผ่านไปก็มีการเปลี่ยนชื่อบริษัทฯ เป็น “บริษัท อาร์.เอส. โปรโมชั่น 1992 จำกัด” และผันตัวเองมาเป็น “บริษัทบันเทิงครบวงจร” ที่ผลิตทั้ง รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์ ละคร รวมไปถึงภาพยนตร์ จนกระทั่งในปี 2549 ก็เปลี่ยนชื่อบริษัทฯ เป็น “บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน)” มาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

เมื่อก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ RS ก็ไม่หยุดตัวเองไว้แค่นี้ แต่ขยายกรอบตัวเองออกไปสู่ธุรกิจอื่นด้วย ซึ่ง RS ก็เลือกขยายตัวเองไปสู่ “ธุรกิจสุขภาพและความงาม” เพราะมีทั้งโอกาสและเม็ดเงินอีกมหาศาล

เพราะถ้ามัวแต่จมอยู่กับธุรกิจเดิมอาจไม่รอดจากกระแสความเปลี่ยนแปลงของ “ยุคดิจิทัล” ที่ทุกคนหันเปลี่ยนช่องทางการฟังเพลงจาก MP3 แผ่นซีดี ไปใช้ช่องทางอย่าง Joox Spotify แอปพลิเคชั่นฟังเพลงยอดฮิต และเฮียฮ้อเองก็เข้าใจว่าต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะถูกใครมาบังคับให้เปลี่ยน

ด้วยการเริ่ม Business Model ใหม่ในแนวคิด “ทำธุรกิจใหม่ไร้กรอบ” (Beyond the Limit) เป็นการไม่ปิดกั้นตัวเองจากทุกธุรกิจที่สามารถทำเงินได้คือ ธุรกิจสื่อ ธุรกิจสุขภาพและความงาม และธุรกิจเพลง

โดยแผนกลยุทธ์ในการทำรายได้นั้นไม่ต่ำกว่า 5,300 ล้านบาท มาจาก

47% จากธุรกิจสุขภาพและความงาม คิดเป็นรายได้ 2,500 ล้านบาท
46% จากธุรกิจสื่อ คิดเป็นรายได้ 2,450 ล้านบาท
5% จากธุรกิจเพลง คิดเป็นรายได้ 250 ล้านบาท
2% จากธุรกิจรับจ้างและผลิตกิจกรรม คิดเป็นรายได้ 100 ล้านบาท

เรียกได้ว่าแหล่งรายได้สำคัญที่ RS หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ให้เป็นรายได้สูงที่สุดเป็นธุรกิจใหม่นั่นคือ “ธุรกิจสุขภาพและความงาม”  ในตอนแรกๆ พี่ทุยก็งงว่าทำไม RS ถึงเลือกหันจับธุรกิจสุขภาพและความงามในยุคที่แข่งขันกันมากมายขนาดนี้นะ เพราะไม่ว่าจะมองทางไหนก็เจอคนสร้างแบรนด์เครื่องสำอางค์ และขายครีมผ่านทางช่องทางออนไลน์เต็มไปหมด

จากการวิเคราะห์ของพี่ทุยนั้นเจอว่าสาเหตุมาจากสองอย่าง ในข้อแรก RS เห็นว่าธุรกิจสุขภาพและความงามคือตลาดใหญ่ และมีกำลังซื้ออีกมาก ปัจจุบันคนในสังคมหันมาดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น  เพราะประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงอายุ

ส่วนจุดแข็งในการทำธุรกิจของ RS นั่นคือ

  • ใช้ทีมผู้บริหารชุดเดิม ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กร ไม่ต้องเสียเวลาปรับตัวเรียนรู้เข้าหากันเยอะ
  • ทำงานแบบสองมิติ จากทั้งข้างล่างขึ้นบน และข้างบนลงล่าง ทำให้เมื่อเจอปัญหาก็สามารถแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว
  • มีฐานข้อมูลลูกค้าขนาดใหญ่ที่มีการวิเคราะห์ทุกเดือน จนสามารถออกแบบกลยุทธ์กระตุ้นยอดขายได้อย่างเหมาะสม

กลยุทธ์หารายได้จาก “ธุรกิจสุขภาพและความงาม” ของ RS จะมาจาก

  • สร้างธุรกิจขายตรง “Life Star BIZ” ที่เปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่ายได้ และอัดโปรโมชั่นจูงใจเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆตลอดปี ทั้งอาหารเสริม เครื่องสำอางค์ ฯลฯ
  • พัฒนาช่องทางขาย Telesale ที่เป็นช่องทางขายสินค้า ด้วยการเพิ่มพนักงานมากขึ้น
  • เพิ่มพันธมิตร ผ่านการขายสินค้ายอดนิยม เช่น เครื่องครัว สินค้าไลฟ์สไตล์ ที่ขายผ่านเบอร์ 1781

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ทิ้งธุรกิจสื่อ ซึ่งเป็นธุรกิจทำเงินดั้งเดิมไปเลย เพราะมีการเตรียมการดันกลุ่มธุรกิจสื่อที่มีอยู่ทั้ง ช่อง 8 ทีวีดาวเทียม ธุรกิจวิทยุ คลื่นคูล ให้เติบโตต่อเนื่อง โดยมี “ช่อง 8” เป็นตัวชูโรงที่จะนำเม็ดเงินเข้ามา พร้อมขยายฐานผู้ชมในออนไลน์ไปพร้อมๆ กัน ด้วยการดึงคอนเทนต์มา LIVE สดบน Facebook

ส่วนค่ายเพลงในตอนนี้มีอยู่ค่ายเดียวนั่นคือ “อาร์สยาม” (RSIAM) ที่เฮียฮ้อมีแผนว่าจะไม่ใช่แค่ค่ายเพลงลูกทุ่งเท่านั้้น แต่จะผลิตเพลงแบบหลากหลายตามแนวธุรกิจไร้กรอบ เรียกได้ว่าเป็นบริษัทที่มีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง เพราะผ่านการถูก disrupt ในธุรกิจมาหลายครั้งจริงๆ

เราลองมาส่องรายได้ กำไรสุทธิ ย้อนหลังกันดีกว่า

รายได้รวม (ล้านบาท)
ปี 2557 = 4,333.07
ปี 2558 = 3,779.51
ปี 2559 = 3,248.51
ปี 2560 = 3,588.13
ปี 2561 = 3955.05

กำไรสุทธิ (ล้านบาท)

ปี 2557 = 370.96
ปี 2558 = 121.63
ปี 2559 = -102.15
ปี 2560 = 332.86
ปี 2561 = 516.04

ถ้ามองตามตัวเลขจะพบว่าในปี 2559 ธุรกิจของ RS นั้นซบเซาลง โดยในปีนั้นสัดส่วนรายได้ของ RS มีรายได้หลักรวม 3,124.9 ล้านบาท มาจาก 4 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจสื่อ 1,814.7 ล้านบาท ธุรกิจเพลง 321.6 ล้านบาท ธุรกิจอีเวนท์ 753.2 ล้านบาท และ ธุรกิจสุขภาพและความงาม 227.9 ล้านบาท

ทำให้พี่ทุยมองเห็นว่าปีที่ขาดทุนนั้นน่าจะเป็นช่วงซบเซาของธุรกิจสื่อ ประกอบกับการที่ธุรกิจสุขภาพและความงามยังไม่เติบโตทำเงินมากนัก และเป็นเหมือนช่วงกำลังปรับตัวของบริษัท

สุดท้ายแล้วการทำธุรกิจของ RS ทำให้เราเรียนรู้ได้ว่าเราไม่ควรยึดติดความสำเร็จในอดีต หากวันนี้ RS ไม่ยอมปรับตัวและมัวหารายได้จากแค่บริษัทเพลง ในวันนี้ก็คงไม่ได้ขยายตัวเองเข้าสู่ธุรกิจสู่สุขภาพและความงามจนสามารถทำเงินกลับมาได้แบบนี้ และนับได้ว่าเป็นอีกก้าวที่น่าจับตาของบริษัทที่เราคุ้นเคยกันมานาน

รูปบน ของ desktop
รูปล่าง ของ mobile
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย
FBS Trader เทรดได้อย่างปลอดภัย

Comment

Be the first one who leave the comment.

Leave a Reply