สำหรับสาวๆเวลาที่ได้ไปในร้านขายเครื่องสำอางที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลายให้เลือกแบบละลานตา แน่นอนว่าต้องรู้สึกเหมือนเวลาหยุดเดิน เพราะได้หลุดเข้าไปในโลกของความสวยความงาม ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ได้หยิบลิปสติกสีสวยๆ มาลอง หรือเทสกลิ่นน้ำหอมขวดหรู
ทำให้พี่ทุยนึกถึงร้านขายผลิตภัณฑ์เพื่อความงามร้านหนึ่ง ที่เบื้องหลังของความสำเร็จนั้นดำเนินกิจการโดยผู้ชายที่มีไลฟ์สไตล์แมนๆ แต่ก็เข้าใจถึงความต้องการผู้หญิงได้เป็นอย่างดี
นั่นคือร้าน “Beautrium” (บิวเทรี่ยม) เป็นร้านที่รวมเอาเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เพื่อความงามมากกว่า 100,000 รายการทั่วโลก ทั้งแบรนด์ดังจากต่างประเทศและแบรนด์ไทยที่เราคุ้นเคยมารวมเข้าไว้ด้วยกัน
Beautrium (บิวเทรี่ยม) บริหารงานด้วยสองพี่น้องนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงที่มาจากแวดวงธุรกิจเหล็ก พี่ชาย “บอย” จิรวุฒิ โรจน์รัตนวลี ตำแหน่งประธานกรรมการบริหารที่มีดีกรีเป็นถึงอดีตแชมป์บีบีกันระดับประเทศเมื่อหลายปีก่อน และมีไลฟ์สไตล์ชื่นชอบกีฬาแนวแอดเวนเจอร์ ชอบเล่นกีฬากลางแจ้งมาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะฟุตบอล ว่ายน้ำ มาทำงานในด้านบัญชี การเงิน ดูแลฝ่ายทรัพยากรบุคคล และการจัดการงานหน้าร้าน ส่วนน้องชาย “แจ็ค” อติโรจน์ โรจน์รัตนวลี ในตำแหน่งกรรมการบริหาร มาดูแลงานทางด้านการตลาดและการจัดซื้อของแบรนด์
พี่น้องนักธุรกิจคู่นี้ทำให้เราเห็นว่าการทำธุรกิจเกี่ยวกับความสวยความงาม สามารถประสบความสำเร็จจากฝีมือของผู้ชายลุยๆได้ เพราะพวกเขามองว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกเพศต้องใช้กันตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่แล้ว และคิดว่าการซื้อของลูกค้าผู้ชายก็คงอยากหาทุกอย่างได้จากร้านเดียวไปเลย ไม่อยากวุ่นวายเข้าออกหลายร้าน จึงเป็นที่มาของการมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่น่าสนใจในการรวมสินค้าจากหลากหลายแบรนด์เข้าด้วยกัน
ในปัจจุบัน Beautrium มีสาขาเปิดบริการแล้ว 5 แห่ง สาขาแรกเปิดเมื่อปี 2555 อยู่ที่เซ็นเตอร์พ้อยท์ ออฟ สยามสแควร์ แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ในอนาคตก็มีแผนที่จะขยายไปเปิดสาขาตามต่างจังหวัดเพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น โดยเริ่มจากหัวเมืองใหญ่ๆ
เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งร้านที่ผสานเอาความต้องการของคุณผู้ชายและคุณผู้หญิงเข้าไว้ด้วยกันอย่างดี เพราะพี่ทุยแอบเห็นว่าในร้านมีโต๊ะสนุกเกอร์ด้วยที่สาขาซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์ คิดว่าไว้ให้คุณผู้ชายเอาไว้เล่นฆ่าเวลารอแฟนช้อปปิ้งแบบเพลินๆ
ในจุดนี้แสดงให้เห็นเรื่องหนึ่งว่ารายละเอียดเล็กๆ ก็สร้างความประทับใจให้ลูกค้าได้เป็นการโฟกัสนอกเหนือจากผลิตภัณฑ์หลักซึ่งคือ “เครื่องสำอาง” มาเป็นการให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์ในการช้อปปิ้ง” ที่ผู้หญิงได้มีความสุขกับการเลือกเครื่องสำอาง และผู้ชายได้ใช้ช่วงเวลานี้ในการผ่อนคลาย
แต่ถึงจะตั้งใจขยายธุรกิจในไทยก็ไม่ได้หยุดอยู่แค่ลูกค้าในประเทศ เพราะมีการจับมือกับ “อาลีเพย์” และ “วีแชทเพย์” เพื่อสร้างความสะดวกในการจ่ายเงินให้นักท่องเที่ยวชาวจีน เพราะเป็นลูกค้ากลุ่มใหญ่ โดยในสัดส่วนลูกค้าต่างประเทศนั้นมีชาวจีนสูงถึง 50% ซึ่งเป็นลูกค้ากระเป๋าหนักที่มียอดการใช้จ่ายเฉลี่ยที่ 1,000-10,000 บาทต่อบิลเลยทีเดียว
เป็นอีกหนึ่งธุรกิจจากการร่วมมือกันของสองพี่น้อง ที่ทำให้เราเข้าใจว่าขอให้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่อยู่ตรงหน้า และไม่คิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว เราก็จะสามารถสร้างเส้นทางของตัวเองได้เช่นกัน
Reference:
- https://mgronline.com/business/detail/9600000052353
- https://www.posttoday.com/ent/celeb/556226
- https://www.posttoday.com/ent/celeb/500560
- https://www.prachachat.net/marketing/news-62801
- https://www.prachachat.net/marketing/news-205545