เป็นกระแสกันพักใหญ่แล้วกับเรื่องที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกหลายแห่งพยายามจะผลักดันให้เกิด ‘Cashless Society’ หรือ ‘สังคมไร้เงินสด’ เพื่อให้ตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ทำให้ผู้คนสะดวกสบายมากขึ้น เพราะไม่ต้องพกกระเป๋าสตางค์และยังสร้างภาพลักษณ์ของความทันสมัยให้กับแบรนด์นั้นๆเป็นผลพลอยได้ด้วยอีกนะ
เรายังไม่เห็นสิ่งนี้ในประเทศไทยนัก แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนบ้านหลายประเทศได้นำร่องและใช้กันจนเคยชินแล้ว เช่น ฮ่องกง มีการใช้บัตรแทนเงินสดที่เรียกว่า ‘Octopus’ ซึ่งสามารถจ่ายได้ทุกอย่าง ทั้งรถประจำทาง เข้าร้านสะดวกซื้อ แต่ถ้าคนเผลอลืมทิ้งไว้ พี่ทุยว่าได้มีงานเข้านะ (ฮ่า) หรือที่จีนก็มี Alipay ของคนจีน ซึ่งนอกจากจะใช้จ่ายค่าบริการต่างๆ ได้แล้ว ยังผูกกับบัตรประชาชนจีนได้อีกด้วย เวลาจะเข้าไนซ์คลับหรือซื้อของที่มีการกำหนดอายุผู้ซื้อ ก็สามารถตรวจสอบผ่านแอปได้เลย นี่แหละกระเป๋าตังค์ที่แท้จริง
พอได้เห็นสถิติการเติบโตของธุรกิจประเภท e-commerce หรือการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ พี่ทุยก็พอเข้าใจได้ว่าทำไมหลายๆ บริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกถึงได้พยายามเมคโอเวอร์แบรนด์ตัวเองให้ตรงใจคนรุ่นใหม่วัยทำงาน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่มีกำลังซื้อมากที่สุด
จากรูปจะเห็นได้ว่า ธุรกิจประเภท e-commerce มีอัตราการเจริญเติบโตสูงขึ้นทุกปี จากปี 2014 ที่สร้างรายได้เพียงแค่ 1.336 พันล้านเหรียญสหรัฐกลายเป็น 2.842 พันล้านเหรียญสหรัฐและมีการคาดการณ์ต่อไปว่าจะสร้างรายได้ ได้มากถึง 4.876 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2021 ที่จะถึงนี้
แน่นอนว่า ตัวเลขรายได้ที่เติบโตแสนอู้ฟู่นี้คงไม่พ้นสายตาของบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง amazon ซึ่งก่อนหน้านี้ก็เป็นผู้เล่นในสนาม e-commerce อยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่นานมานี้ amazon ก็กระโดดเข้ามาเล่นเต็มตัวมากขึ้น เหมือนต้องการจะสื่อให้ทุกคนรู้ว่า ‘พี่ไม่ได้มาเล่นๆ พี่จริงจัง’ จากการที่ amazon ได้เปิดตัวซูเปอร์มาเก็ตแนวใหม่ ภายใต้ชื่อว่า ‘amazon go’
แล้วที่ว่าแนวใหม่นี่ดียังไงล่ะ ?
ซูเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ไร้แคชเชียร์ ดีต่อผู้ซื้อหลายอย่าง เช่น ไม่ต้องต่อคิวจ่ายเงิน ไม่ต้องพกเงินสดมา ทำให้สะดวกและประหยัดเวลามากๆ เพราะเพียงแค่มีแอปพลิเคชัน ‘amazon go’ ในสมาร์ทโฟนก็เป็นลูกค้าร้านนี้ได้แล้ว โดยที่เมื่อหยิบสินค้าภายในร้าน แอปพลิเคชั่นจะระบุราคาและ ตัดเงินจากบัญชี amazon ของเราเองโดยอัตโนมัติ
นอกจากนี้ซูเปอร์มาเก็ตแนวใหม่ก็ยังมีประโยชน์กับฝั่งผู้ขายอย่าง amazon หลายอย่างเหมือนกัน เช่น ลดต้นทุนการขนส่ง (ต้นทุนลด กำไรก็มากขึ้นไงล่ะจ๊ะ ดีงามเนอะ ฮี่ๆ) ลดค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเงินสด และที่สำคัญ ระบบนี้ก็ช่วยลดการเกิดอาชญากรรม ในเมื่อไม่มีเงินสดในแคชเชียร์ แล้วเหล่ามิจฉาชีพจะมาปล้นอะไรล่ะ จริงมั้ย ?
บางคนอาจกังวลว่า การใช้ระบบไร้แคชเชียร์อย่างนี้จะทำให้โดนคิดเงินฟรีหรือถูกคิดเงินซ้ำซ้อน แต่ทาง amazon คำนึงถึงปัญหาเรื่องนี้อยู่แล้ว เพราะมีระบบmachine-learning ที่แม่นยำ ถึงจะหยิบของ แต่นำมาวางคืนที่ ระบบก็จะอัพเดทข้อมูลใหม่โดยอัติโนมัติทันที
ร้าน amazon go เปิดมาได้สักพักนึงแล้ว โดยเปิดสาขาแรกอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2018 ที่เมือง Seattle ของสหรัฐอเมริกา ด้วยเนื้อที่ 1,800 ตารางเมตร จริงๆ แล้ว ซูเปอร์มาเก็ตแนวนี้ก็มีในจีนเหมือนกัน แต่เป็นเพียงร้าน Pop Up Store (มีเพียงแค่ช่วงเวลานึงเท่านั้น) ที่เมืองเซี่ยงไฮ้และมีเนื้อที่เพียง 300 ตารางเมตร เพราะฉะนั้นคงพอเดาได้ว่าเมื่อซูเปอร์มาเก็ตไร้แคชเชียร์ที่มีพื้นที่กว้างขวางอย่าง amazon go เปิดตัวในวันแรก คงมีคนมาอุดหนุนกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง จนทำให้ร้านที่มีคอนเซ็ปพื้นฐานว่า ‘สะดวกสบาย ไม่ต้องรอคิว’ กลายเป็นร้านที่จะเข้าจะออกแต่ละครั้งต้องต่อแถวไปหน้าตาเฉย
สินค้าที่วางขายในร้านแห่งนี้จะเน้นไปที่อาหารและเครื่องดื่ม โดยมีทั้งอาหารที่ต้องเอาไปทำต่อเอง ซึ่งทางร้านเค้ามีชุดอุปกรณ์ทำอาหารแบบเร่งด่วนขายด้วยนะ พร้อมกับโปรยว่า สามารถใช้เจ้าชุดอุปกรณ์จิ๋วนี่ทำอาหารทานได้ภายในเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงการเข้ามาของธุรกิจแบบ e-commerce เพื่อตอบสนองต่อการเป็นสังคมไร้เงินสดนี้โตขึ้นเรื่อยๆ จากสถิติพบว่า การค้าปลีกผ่าน e-commerce ได้กินส่วนแบ่งการตลาดของการค้าปลีกธรรมดามากขึ้นเรื่อยๆนับตั้งแต่ปี 2003
จากกราฟเปรียบเทียบ : การค้าขายผ่าน e-commerce มีการเจริญเติบโตมากกว่าการค้าปลีกธรรมดาอย่างเห็นได้ชัด โดยในช่วงปลายปี 2008 ถึง 2009 ทั้งคู่เกิดการชะลอตัว เพราะเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์นั่นเอง
จน WALMART ซูเปอร์มาร์เก็ตอันโด่งดังถึงขนาดทุ่มเม็ดเงินมหาศาลจำนวน 3.3 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯซื้อสตาร์ทอัพ e-commerce เพื่อรุกคืบตลาดออนไลน์
ราคาหุ้น amazon (AMZN) เป็นยังไงบ้าง ?
ถ้าดูจากกราฟรายเดือน จะเห็นได้ว่าในเดือนมกราคม 2018 ซึ่งมีการเปิด amazon go อย่างเป็นทางการสาขาแรก ราคาหุ้น AMZN ได้พุ่งขึ้นสูง จนเกิดเป็นแท่งเขียวยาวปิดเกือบเต็มแท่ง ด้วยปริมาณซื้อขายที่ไม่น้อย แต่เพิ่มมากขึ้นทุกเดือน ทั้งราคาและปริมาณซื้อขายจนทำจุดสูงสุดที่ราคา 2,050 ดอลลาร์ฯในเดือนกันยายน ปี 2018 ที่ผ่านมา
หลายประเทศในเอเชียก็ได้ก้าวเท้าเข้าสู่สังคมไร้เงินสดกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะจ๊ะ พี่ทุยก็ขอเอาใจช่วยให้มีคนนำธุรกิจแนวนี้เข้ามาในไทยเร็วๆ พี่ทุยจะเตรียมตัวไปอุดหนุนคนแรกๆเลยนะ พร้อมมาก !
Comment