ตอนนี้เทศกาลกินเจเวียนมาหาเรากันอีกครั้งแล้ว และในปีนี้ก็ตรงกับวันที่ 8-17 ตุลาคม เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่เราจะได้เห็นธงสีเหลืองประดับอยู่ตามร้านค้าหลายๆแห่ง เป็นสัญญานบอกถึงเทศกาลบุญอันยิ่งใหญ่
แล้วถ้าพูดถึง “คนกินเจ” นั้น ก็ไม่ได้หมายความถึงการไม่กินเนื้อสัตว์เพียงอย่างเดียว เพราะคนที่กินเจยังต้องถือศีล รักษาร่างกายให้มีความบริสุทธิ์สะอาด รวมทั้งวาจา ใจ ถึงจะเป็นการ “กินเจอย่างสมบูรณ์” ซึ่งการงดเว้นการกินเนื้อสัตว์ถือเป็นการเจริญมหาเมตตา และเชื่อกันว่าจะก่อให้เกิดความสุขสงบแก่ทุกชีวิตบนโลกใบนี้
ความแตกต่างของ กินเจ กับ กินมังสวิรัติ คืออะไร ?
อาหารมังสวิรัติ คือ อาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบเช่นเดียวกับอาหารเจ แต่หากเป็นมังสวิรัตินั้น สามารถนำผักทุกชนิดมาประกอบอาหารได้ ส่วนผู้ที่ทานอาหารเจจะต้องงด คือ การทานผักฉุน 5 ประเภท ได้แก่ กระเทียม หลักเกียว หัวหอม กุยช่าย และใบยาสูบ รวมไปถึงต้องประพฤติศีลร่วมด้วย (เหมือนที่กล่าวมาในข้างต้น) และข้อดีอีกอย่างของการกินเจ คือ ทำให้กระเพาะของเราได้มีช่วงพักผ่อนจากการย่อยอาหารที่ย่อยยากๆ อย่างเนื้อสัตว์
แนวโน้มการ “กินเจ” ปัจจุบัน
แนวโน้มของคนที่กินเจจะยังมีสัญญาณเพิ่มขึ้น แต่มักมีความกังวลกันว่าอาจจะทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหาร เนื่องจากได้รับโปรตีนไม่เพียงพอ และมองว่าอาหารเจมีความมันมากและไม่ดีต่อสุขภาพ
ค่าสถิติที่น่าสนใจ
- กลุ่มเป้าหมายที่ตั้งใจจะกินเจส่วนใหญ่นั้นเป็น “กลุ่มวัยทำงาน” โดยมักมีอายุ 25 ปีขึ้นไป ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลดละกิเลส และงดเว้นการบริโภคเนื้อสัตว์ ในขณะที่บางกลุ่มก็เป็นผู้รับประทานอาหารเจหรือมังสวิรัติเป็นประจำอยู่แล้ว
- เม็ดเงินใช้จ่ายด้านอาหารและเครื่องดื่มเจสะพัดกว่า 4,650 ล้านบาท โดยขยายตัวร้อยละ 3 (YoY) เป็นผลมาจากราคาสินค้าอาหารและเครื่องดื่มเจที่คาดว่าจะปรับสูงขึ้น
- ค่าใช้จ่ายในการกินต่อคนอยู่ที่ประมาณ 315 บาท/วัน
- คนทานอาหารเจมักชอบซื้อจากร้านอาหารมาทาน เพราะสะดวก ง่าย เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่เร่งรีบ
นับได้ว่าเป็นหนึ่งเทศกาลที่หลายๆคนเข้าร่วมกัน ซึ่งไม่ว่าจะกินเจในปีนี้หรือไม่ก็ลองดูค่าสถิติที่น่าสนใจเหล่านี้ไว้เป็นข้อมูลเผื่อๆไว้ก็ได้ ส่วนพี่ทุยเองก็กินเจสม่ำเสมออยู่แล้ว เพราะกินหญ้าเป็นอาหารหลักนั่นเอง (ฮ่า)