ถ้านึกถึง “เกาหลี” พี่ทุยว่ายังไงเราก็ต้องนึกถึงประเทศที่มีอุตสาหกรรมบันเทิงต่าง ๆ อันดับต้น ๆ ของโลกแน่นอน ที่ไม่ว่าจะสร้างซีรีย์เรื่องไหนก็น่าดูไปหมด นางเอกเกาหลีก็น่ารัก รวมไปถึงสินค้าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับซีรีย์ เช่น เครื่องสำอาง กระเป๋า เสื้อผ้าที่ตัวเอกในเรื่องใช้ ของที่เคลื่อนที่ไม่ได้อย่างสถานที่ที่เป็นฉากต่าง ๆ ในเรื่อง เค้าก็ยังขายได้ อย่างทัวร์ตามรอยละครยังไงล่ะ ใครเคยไปมาแล้ว สารภาพมาดี ๆ เรียกได้ว่าเป็น One-Stop Service มีครบจบทุกสินค้าในประเทศเค้าเองเลย พอ ๆ กันกับ Hollywood เลยนะ ที่เวลาเราไปอเมริกา ก็จะต้องไปตามรอยสถานที่ที่ใช้ในการถ่ายทำภาพยนต์ คนไทยก็ไม่แพ้กัน เรามี BEC
ล่าสุดช่อง 3 หรือชื่อหุ้น BEC ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ก็กำลังจะได้ไปกระทบไหล่ประเทศที่เป็นเจ้าพ่อวงการซีรีย์อย่างเกาหลี เมื่อ TRA Media ได้ดีลผ่าน JKN ซึ่งเป็นตัวแทนขายคอนเทนท์ในต่างประเทศของช่อง 3 ก็ได้ทำการขอซื้อลิขสิทธิ์ละครไทยเบื้องต้น 8 เรื่อง รวม 265 ชั่วโมง ได้แก่
- บุพเพสันนิวาส ในชื่อว่า Love Destiny
- คลื่นชีวิต ในชื่อว่า Waves of Life
- นาคี ในชื่อว่า Nakee
- รากนครา ในชื่อว่า The Tale of Two Cities
- ลิขิตรัก ในชื่อว่า The Crown Princess
- ทองเอก หมอยาท่าโฉลง ในชื่อว่า Thong Ek – the herbal master
- บ่วงบรรจถรณ์ ในชื่อว่า Love Beyond Time
- คมแฝก ในชื่อว่า Kom Faek – The Lost Art
โดยตั้งใจว่าจะนำไปฉายในช่อง Smile Plus และ TVA Plus ทั่วประเทศเกาหลี
มาทำความรู้จัก Smile Plus และ TVA Plus กัน
ทีวีทั้ง 2 ช่องเป็นช่องที่มีเรตติ้งสูงเป็นอันดับแรก ๆ ของเกาหลีเลยนะ ช่อง Smile Plus เป็นช่องที่นำเสนอรายการบันเทิงครบครัน ออกอากาศทางเคเบิลทีวี IPTV และแพร่ภาพผ่านดาวเทียม มีจำนวนผู้ใช้งานอยู่ 21.6 ล้านครัวเรือน ส่วน TVA Plus เป็นช่องที่เน้นฉายซีรีย์เอเชีย ปัจจุบันมีผู้ใช้งานประมาณ 12.6 ล้านครัวเรือนทั่วเกาหลีใต้ ก่อนหน้านี้ มีเพียงแค่ซีรีย์จีนเท่านั้นที่ได้ไปฉายใน 2 ช่องนี้ แต่ตอนนี้จะมีละครไทยไปแจมแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ละครไทยได้ตีตั๋วไปโลดแล่นที่เกาหลีด้วย
BEC มีรายได้จากการขายลิขสิทธิ์ครั้งนี้เท่าไหร่?
แต่ก็อย่าเพิ่งรีบดีใจกัน เพราะรายได้จากการขายลิขสิทธิ์ละคร 8 เรื่องไม่ได้มากมายนัก มีการคาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ประมาณ 36 ล้านบาท ซึ่งไม่น่ากระทบกับรายได้เค้ามากนัก เพราะรายได้หลักเกือบ 90% มาจากการขายโฆษณาและสัดส่วนรายได้จากการขายลิขสิทธิ์จัดเป็น 5.6% และ 10.2% ในปี 2560 และ 2561 ตามลำดับเท่านั้น
พอจะเห็นภาพหรือยังว่ารายได้จากการขายลิขสิทธิ์ 36 ล้านบาทในครั้งนี้ไม่ได้หรูหราอะไรมากมาย (ฮือ) จริง ๆ แล้วช่อง 3 ขายลิขสิทธิ์ละครไปออนแอร์ในประเทศอื่น ๆ อยู่ แล้วในไตรมาสแรกที่ผ่านมานี้ เค้าก็ขายลิขสิทธิ์ได้เงินเข้ากระเป๋ามา 62 ล้านบาทนะ
แต่พี่ทุยก็มองว่ามันอาจจะเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสอะไรใหม่ ๆ วันนี้อาจมีเพียงละคร 8 เรื่องเท่านั้น แต่ในอนาคตประตูบานนี้อาจจะเปิดกว้างขึ้นเรื่อย ๆ ก็ได้ ก่อนจะปีนถึงยอดเขา นักปีนเขาทุกคนก็ต้องเริ่มปีนตั้งแต่ตีนเขากันทั้งนั้นแหละ พี่ทุยอ่านเจอในรายงานประจำปีของ BEC ว่าช่วงนี้เค้าบุกไปหลายประเทศเลย นอกจากจะตกลงร่วมมือกับ JKN เมื่อปีที่แล้ว เค้าก็ยังทำการตลาดในหลาย ๆ ประเทศอีกด้วย ได้แก่ จีน เวียดนาม ไต้หวัน มาเก๊า ฮ่องกง พม่า และกัมพูชา
Content is the king and advertisements are his children.
เนื่องจากรายได้หลักของเค้ามาจากการขายโฆษณา ฉะนั้นการที่ BEC จะขายโฆษณาได้มากน้อยก็ขึ้นอยู่กับเนื้อหาสาระหรือละครของเค้า ว่าจะเรียกเรตติ้งได้เท่าไหร่ เช่น ช่วงที่ ละครบุพเพสันนิวาส ฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองก็คิดค่าโฆษณาได้แพงขึ้นพอสมควรเลย อ่านมาถึงตรงนี้อาจจะงง ๆ ว่า แล้วเรื่องนี้เกี่ยวกับเรื่องที่ดีลกับทางเกาหลียังไง ?
ลองเลื่อนไปดูรายชื่อละครทั้ง 8 เรื่องที่ทางเกาหลีขอซื้อลิขสิทธิ์ไปให้ดี ๆ เราจะพบว่าเป็นละครย้อนยุค หรือละครข้ามภพข้ามชาติถึง 6 ใน 8 เรื่อง ถ้าไม่ย้อนยุคไปไกลมาก อย่างบุพเพสันนิวาส หรือรากนครา ก็ย้อนไปใกล้ๆ ช่วงยุค 70’ อย่างเรื่องคมแฝก ถึงพี่ทุยจะไม่ได้ติดตามละคร หรือเป็นแฟนคลับช่อง 3 แต่ก็รู้สึกได้เลยว่า ตั้งแต่บุพเพสันนิวาสโกยเรตติ้งไปได้อย่างมหาศาลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว เค้าก็พยายามชูโรงหนังแนวย้อนยุค ข้าภพข้ามชาติพอสมควรเลย แต่ก็ยังไม่มีละครเรื่องไหนที่ปังเท่า
และแน่นอนว่า ในเมื่อ Content อย่างนี้ยังโดนใจคนในชาติ ก็ย่อมยิ่งน่าสนใจสำหรับการส่งไปต่างประเทศ ถ้าต่างชาตินิยมก็อาจเกิดกระแสตามรอยละคร ทำให้เค้าอยากมาเที่ยวประเทศเราด้วยก็ได้นะ
กราฟราคาหุ้นของ BEC
ปีนี้หุ้นมีข่าวเยอะเลย ตั้งแต่ที่ทำจุดต่ำสุดในรอบ 52 สัปดาห์ ที่ราคา 4.66 เมื่อตอนเปิดปีใหม่ หลังจากนั้นในวันที่ 4 มีนาคมก็มีข่าวเรื่องการเปลี่ยนตัวผู้บริหารเป็น คุณบี๋ อริยะ พนมยงค์ เค้าคนนี้เป็นผู้บริหารเก่าของไลน์มาก่อน ดูเหมือนตลาดจะดีใจกับข่าวนี้เพราะหลังจากนั้นราคาหุ้นก็เบรคทะลุ แล้วกลายเป็นขาขึ้นด้วยปริมาณซื้อขายที่ไม่ธรรมดา ต่อมาก็คือข่าวเรื่องคืนช่องทีวีดิจิตอลเมื่อช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ซึ่ง BEC จะได้ประโยชน์จากการได้รับเงินชดเชยครั้งนี้ ตลาดก็ตอบสนองต่อข่าวดีเช่นกันด้วยการพุ่งขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ ที่ราคา 10.80 บาท ส่วนข่าวดีลกับเกาหลีในครั้งนี้ไม่ได้รับเสียงตอบรับจากตลาด ในวันจันทร์ที่ 9 กันยายนนี้ หุ้นมีราคาปิดลดลงถึง 3%
พี่ทุยมองว่าตลาดค่อนข้างให้ความคาดหวังต่ออนาคตในเรื่องของการเปลี่ยนผู้บริหารใหม่ และการคืนช่องของ BEC มาก ถ้าเราถือหุ้นตอนช่วงราคา 5 บาท ก็จะได้กำไรเป็นเด้งในระยะเวลาประมาณแค่ 7 เดือนเท่านั้น เรามาลุ้นกันดีกว่าว่าการที่ดีลกับทางเกาหลีครั้งนี้จะเป็นบันไดขั้นแรกของละครบ้านเรารึเปล่า คนไทยยังไปตามรอยซีรีย์เกาหลีได้ อีกหน่อยคนเกาหลีอาจจะแห่กันมาตามรอยละครไทยได้บ้างเหมือนกัน ไม่แน่นะคำว่า “พี่หมื่น” อาจจะมาแทน “โอปป้า” ก็ได้
Comment