เลือกตั้งรอบนี้ พี่ทุยว่าเดือดดีเหมือนกันนะ เรียกได้ว่าแต่ละพรรค แต่ละคนปล่อยหมัดเด็ดกันคนละหมัด 2 หมัดมาอย่างต่อเนื่องจริงๆ ล่าสุดนโยบายเศรษฐกิจที่พี่ทุยว่าเป็นไม้ตายของ “พรรคเพื่อไทย” ที่สร้างความฮือฮาในช่วงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้ง นั่นก็คือ นโยบาย “หวยบำเหน็จ”
ฟังครั้งแรกแล้วสิ่งที่พี่ทุยรู้สึกเลยก็คือ “ช่างถูกจริต” กับคนไทยเสียจริงๆ ทำไมพี่ทุยถึงพูดว่าถูกจริตกับคนไทย เพราะว่าทั้งปี 2018 ที่ผ่านมา กองสลากบ้านเรามีรายได้ประมาณ 136,000 ล้านบาท ซึ่งพี่ทุยว่าเป็นตัวที่เลขที่ค่อนข้างมาก ลองคิดง่ายๆว่า บ้านเรามีเงินคงคลังประมาณ 300,000 ล้านบาท ก็เกือบๆครึ่งหนึ่งของเงินคงคลังที่เรามีเลยทีเดียว
หากตีเป็นจำนวนลอตเตอรี่มันจะเท่ากับประมาณ 1,900 ล้านใบ (ราคาที่กองสลากได้รับใบละ 70 บาท หักให้กับคนขาย 10 บาท) หรือประมาณ 80 ล้านใบต่องวด เรียกว่าคนไทยกับหวยเป็นของคู่กันอย่างช้อนกับส้อมเลยล่ะ นอกจากนี้ พี่ทุยลองดูรายได้รวมของกองสลากฯย้อนหลังพบว่าในช่วง 10 ปีมานี้รายได้จากการจำหน่ายลอตเตอรี่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยในปี 2009 รายได้จากการจำหน่ายอยู่ที่ประมาณ 44,100 ล้านบาท นั่นเท่ากับว่าในปัจจุบันกองสลากบ้านเราขายสลากได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 3 เท่าตัวเลย เติบโตโดยเฉลี่ยปีละมากกว่า 10% อันนี้นับเฉพาะลอตเตอรี่ที่อยู่ในระบบอย่างถูกต้องหรือที่เรียกๆกันว่า “หวยบนดิน” ซึ่งยังไม่รับกับรวมหวยใต้ดินที่พี่ทุยว่าถ้านับรวมแล้วเม็ดเงินคงมากกว่านี้อีกหลายเท่าเลยล่ะ
สรุปเนื้อหารายละเอียดของนโยบาย “หวยบำเหน็จ”
ทีนี้เรากลับมาดูกันที่ตัวนโยบาย “หวยบำเหน็จ” อีกทีว่ามีลักษณะเป็นอย่างไร พี่ทุยจะขอสรุปแบบคร่าวๆ ของตัวนโยบายนี้ให้ฟังจะได้เห็นภาพ
1. หวยแบบใหม่เรียกว่า สลากการออมแห่งชาติ ราคาหน่วยละ 50 บาท
2. หากถูกรางวัลขึ้นรางวัลได้ทันที หากไม่ถูกให้นำใบสลากไปขึ้นบัญชีระยะยาวและเมื่ออายุครบ 60 ปีจะได้รับเงินคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย และหากผู้ซื้ออายุเกิน 60 ปีจะได้เมื่อเสียชีวิตหรือเรียกว่าเป็นเงินมรดก
3. ออกรางวัลทุกๆ 1 เดือน โดยคร่าวๆคาดว่าจะมีรางวัลเลขท้าย 2 ตัวและ รางวัลเลขท้าย 3 ตัว
4.สลากกินแบ่งรัฐบาล หรือ ลอตเตอรี่แบบเดิม ก็ยังคงมีอยู่ เพราะคุณหญิงสุดารัตน์กล่าวว่าให้แบ่งมาซื้อหวยบำเหน็จครึ่งหนึ่ง
หากเรามาวิเคราะห์ถึงการจัดสรรเงินรายได้ต่างๆของสลากกินแบ่งฯ โดยกองสลากฯคิดค่าเงินรางวัลเป็นประมาณ 60% ของรายได้ทั้งหมด ส่งรายได้ให้แผ่นดินไม่ต่ำกว่า 20% และ ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการไม่เกิน 17% นั่นหมายความว่า สลากกินแบ่งฯ 1 ใบจะต้องมีรายได้ส่งกลับแผ่นดิน ไม่ต่ำกว่า 14 บาท และมีต้นทุนจากรางวัลและค่าใช้จ่ายทั้งหมดประมาณ 77% ของราคา 70 บาทหรือเท่ากับ 53.9 บาท ดังนั้นจะมีกำไรเหลือเพียง 2.1 บาทหรือประมาณ 4% เท่านั้น แต่ไม่ใช่ไม่เยอะนะ อย่าลืมว่างวดๆหนึ่งซื้อกันที่ 80 ล้านใบนะ
แต่ปัญหาอยู่ที่นโยบายบอกว่าจะได้เงินต้นคืนพร้อมดอกเบี้ยจากเงินที่ซื้อสลากกินแบ่งไป นั่นแปลว่า เราซื้อหวย 80 บาทวันนี้ ตอนเราอายุ 60 ปี จะได้คืน 80 บาทเช่นกัน แต่ประเด็นอยู่ที่ว่ากองสลากเหลือกำไร 2.1 บาท ไอการที่เราจะทำให้เงิน 2.1 บาทเป็น 80 บาทให้ได้มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยากแน่นอน พี่ทุยเลยเดาไปก่อนว่าหน้าตาของหวยบำเหน็จเนี้ย ต้องไม่ใช่แบบสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบเดิมแน่นอน โครงสร้างรายได้ของหวยบำเหน็จน่าจะต้องต่างจากสลากกินแบ่งรัฐบาลพอสมควร
พี่ทุยเลยลองสมมติตัวเลขเล่นๆว่า หากจะสามารถทำให้รัฐบาลหาเงินต้นมาจ่ายได้จริงๆ ต้องทำให้กำไรเหลืออย่างน้อย 10 บาทต่อการขายสลากหนึ่งใบที่ 50 บาท และใช้เวลา 40 ปี รัฐบาลต้องนำเงินส่วนนี้ไปลงทุนให้ได้กำไรประมาณปีละ 4% ก็จะสามารถจ่ายเงินต้นคืนได้ (หน่วยละ 50 บาท) ซึ่ง 4% ก็ดูจะเป็นตัวเลขที่เป็นไปได้และไม่เสี่ยงจนเกินไปถึงจะพอเป็นไปได้ว่าเราซื้อหวยใบละ 50 บาทแล้วเราจะได้เงินต้นคืน 50 บาท ซึ่งถ้ารัฐลงทุนได้มากกว่า 4% ที่เหลือก็จะเป็นดอกผลไป
รัฐบาลจะทำอย่างไรเพื่อได้กำไรจาก “หวยบำเหน็จ” ใบละ 10 บาท
จากการวิเคราะห์โครงสร้างของสลากกินแบ่งรัฐบาลเนี่ย ความเป็นไปได้แรก คือ ต้นทุนในส่วนของเงินรางวัล อาจจะต้องลดลงให้ไม่ถึง 60% ของรายได้อีกแล้ว ซึ่งแน่นอนมันจะไม่ได้มากเท่าลอตเตอรี่ อาจมีเพียงแค่รางวัลเลขท้าย 2 ตัวและ 3 ตัวตามที่มีการแถลงอย่างชัดเจนแล้วเท่านั้น
หากลองคิดดูจริงๆ ค่าตอบแทนที่คาดหวังสำหรับโอกาสในการถูกรางวัลเนี่ยมันค่อนข้างต่ำเลยทีเดียว คิดง่ายถ้าสมมติรางวัลเลขท้าย 2 ได้รางวัล 2,000 บาท (ซึ่งน่าจะน้อยกว่านั้น เพราะลอตเตอรี่ราคาแพงกว่ายังได้เท่านี้) โอกาสถูกมีเพียง 1 ใน 100 เท่านั้น นั่นหมายถึงว่า ค่าตอบแทนที่คาดหวัง คือ 1% x 2000 เท่ากับ 20 บาทเท่านั้นเอง ซึ่งมันน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของราคาที่ซื้อเสียอีก แม้จะรวมรางวัลเลขท้าย 3 ตัวเข้าไปก็ยังคงได้น้อยอยู่ดี
อีกทางเลือกที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือในส่วนของ “รายได้ส่งแผ่นดิน” ซึ่งในปีที่ผ่านมา เรามีรายได้แผ่นดินจากสลากกินแบ่งรัฐบาลถึง 31 หมื่นล้านบาท ถ้าหากเป็นดังที่คุณหญิงหน่อยพูดจริงๆว่าให้แบ่งเงินประมาณครึ่งหนึ่งมาซื้อหวยบำเหน็จ ก็จะหมายความว่า รายได้ส่งแผ่นดินเราจะลดลงไปทันทีประมาณ 15 หมื่นล้านบาท
ดังนั้น โดยสรุปแล้วพี่ทุยคิดว่านโยบายนี้ทำได้อย่างแน่นอน (ถ้าจะทำ) แต่ก็จะมีประเด็นที่ต้องติดตามต่อไป อย่างแรกเลยคือ “ดอกเบี้ย” ที่บอกว่าจะได้คืนมากกว่าเงินต้น ซึ่งเท่าที่ข้อมูลมี ณ ตอนนี้ก็มียังไม่มีเปิดเผยว่าเป็นเท่าไหร่
อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยส่วนนี้ก็จะต้องเป็นอีกส่วนที่รัฐบาลมีหน้าที่หามาให้เพิ่ม ซึ่งก็จะเพิ่มไปจาก 4% ที่เมื่อกี้พี่ทุยลองสมมติ และถ้าลองให้ดอกเบี้ยเท่ากับ 1.75% ตามที่แบงก์ชาติใช้เป็น Policy Rate เท่ากับว่ารัฐบาลต้องเอาเงินไปลงทุนให้ได้ประมาณ 5% สำหรับพี่ทุยคิดว่าก็ยังเป็นตัวเลขที่เป็นไปได้อยู่ดีนั่นแหละ
อีกประเด็นหนึ่งที่ต้องชั่งน้ำหนักไม่แพ้กันก็คือ “เรื่องของรายได้ส่งแผ่นดินที่อาจลดลง” ถามว่าเงินมันหายไปไหน จริงๆ แล้วเงินไม่ได้หายไปไหนเลยแต่กลับไปอยู่ในมือของผู้ซื้อ “หวยบำเหน็จ” เท่านั้นเอง ก็เป็นการชั่งน้ำหนักกันระหว่างให้รัฐบาลเป็นผู้สะสมทุนและใช้เงินในส่วนนี้กับให้ภาคเอกชนเป็นผู้สะสมทุนแทน ซึ่งในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์การคลัง เขาจะมองว่ารัฐจะสามารถลงทุนโครงการขนาดใหญ่ได้มากกว่า ส่วนภาคเอกชนเนี่ยก็จะลงทุนและหมุนเวียนในระบบได้เร็วกว่า ในส่วนนี้พี่ทุยก็คิดว่าเราคงต้องดูหลายๆองค์ประกอบ เช่น การหารายได้ทางอื่นๆของภาครัฐว่ามีพอหรือไม่ และระดับการสะสมทุนของภาคเอกชน
ซึ่งลึกๆแล้วพี่ทุยคิดว่า นโยบายนี้เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีลักษณะคล้ายกับ สลากออมสินมากๆ แทบจะไม่ต่างกันเลย สลากออมสินก็มีลักษณะของการออมเงินและมีให้ลุ้นรางวัลทุกเดือนเช่นกัน จะแตกต่างกันก็เพียงสลากออมสิน คนซื้อไม่สามารถเลือกเลขเด็ด เลขนำโชคของตัวเองได้เท่านั้นเอง ดังนั้นการซื้อหวยบำเหน็จคงจะมันส์กว่าในการเล่น (ฮ่า) สำหรับพี่ทุยแล้วหากสามารถเพิ่มการออมของคนได้มันก็ดี อย่าลืมนะที่พี่ทุยเคยบอกว่าตลอดว่า ออมแค่ 10% ของรายได้มันล้าสมัยไปแล้วเพราะมันไม่พอหรอก
สุดท้ายพี่ทุยเคยอ่านงานศึกษาชิ้นหนึ่งว่า “ทำไมคนเรายังซื้อหวย” คนที่ซื้อหวยนั้นรู้หรือไม่ว่า อัตราผลตอบแทนไม่ได้คุ้มเท่าไหร่ ตกลงแล้วเขามองหวยเป็นการลงทุนหรือเป็นการพนัน ผลที่ได้ก็มีหลากหลายมาก แต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้จากแบบสอบถามก็คือ คนส่วนใหญ่ที่ซื้อหวยเนี่ย รู้อยู่แล้วว่าอัตราได้มันไม่คุ้มเสีย แต่อยากลองเสี่ยงดู
ดังนั้นนโยบายนี้ พี่ทุยมองว่าเป็นการผลักดันที่ค่อนข้างดีเลยเป็นการรวมศาสตร์แห่งการออมการลงทุนกับศิลป์แห่งการพนันเข้าด้วยกัน เข้าใจจริตของคนไทย แต่อย่างไรก็ตาม อย่าลืมชั่งน้ำหนักในด้านเงินได้ของภาครัฐด้วยแล้วกัน เมื่อรายได้ขาดหายไป แต่ภาระเรื่องเงินออมยามเกษียณที่รัฐต้องรับผิดก็น้อยลง
สุดท้ายแล้วถ้าหากว่าพรรคเพื่อไทยผู้ซึ่งออกนโยบาย “หวยบำเหน็จ” นี้ได้เป็นรัฐบาลจริง จะบริหารงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่เราต้องติดตามดูกันต่อไป
Comment